เวลานี้ หลี่ชิเย่ หดฝ่ามือกลับมาและไม่ได้มองดูเหยียนเฉินเซินที่ถูกตบจนกระเด็นสักแวบ เพียงกล่าวเรียบๆ ขึ้นมาว่า “ข้าหาใช่คนที่ใจกว้าง ไม่เชื่อฟัง สมควรตบปาก!”
บรรดานักศึกษาที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนเมื่อเห็นเหยียนเฉินเซินถูกหลี่ชิเย่ตบด้วยหนึ่งฝ่ามือจนกระเด็น นับเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นอาจารย์ที่ลงมือครั้งแรกก็เล่นงานนักศึกษาจนบาดเจ็บสาหัส อาจารย์เช่นนี้นับว่าลงมือได้โหดจริงๆ
อวี่เชียนเสวียนมองดูนักศึกษาเหล่านี้ที่อยู่ตรงหน้า สั่งการออกไปว่า “กลับไปกันได้” แล้วไม่ได้พูดอะไรมากกว่านี้อีก
“คุณชาย เชิญด้านใน ข้าเป็นตัวแทนของเหล่าผู้เฒ่าของสถาบันต้อนรับการมารับตำแหน่งอาจารย์ของคุณชายหลี่ การมาของคุณชายนับเป็นเกียรติอย่างยิ่งของสถาบัน!” อวี่เชียนเสวียนกล่าวต่อหลี่ชิเย่
หลี่ชิเย่พยักหน้าให้อวี่เชียนเสวียน จากนั้นตบศีรษะที่ก้มต่ำของเถาถิงเบาๆ หัวเราะและกล่าวว่า “นังหนู พยายามเข้า อย่าทำให้ชื่อเสียงของบรรพบุรุษต้องเสื่อมเสีย จากนี้ไปข้าเป็นผู้คุ้มครองเจ้า มีเรื่องอะไรสามารถมาหาข้าได้” จบคำยิ้มนิดหนึ่ง แล้วติดตามอวี่เชียนเสวียนเข้าประตูไป
ในเวลานี้ คงเหลือเถาถิงที่ยืนเหม่อลอยอยู่นานสองนานเพียงคนเดียว นางไม่สามารถได้สติกลับมาในขณะนี้ และไม่สามารถเข้าใจคำพูดเช่นนี่ของหลี่ชิเย่ได้
แรกทีเดียวเถาถิงยังเข้าใจว่าหลี่ชิเย่เป็นเพียงยอดฝีมือธรรมดาๆ เท่านั้นเอง ไม่นึกเลยว่าเขากลับสามารถเป็นอาจารย์ในสถาบันศึกษาเทพเจ้าได้
สมควรทราบว่า มาตรฐานการเข้าไปเป็นอาจารย์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้านั้นสูงมาก ไม่เพียงแค่มีทักษะยุทธสูงส่งเพียงอย่างเดียวก็ได้แล้ว ต่อให้ลำพังแค่ว่ากันด้วยเรื่องทักษะยุทธ เกรงว่าก็ต้องอยู่ในระดับจอมเทพขึ้นไปจึงมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นอาจารย์ในสถาบันศึกษาเทพเจ้าได้
เวลานี้หลี่ชิเย่สามารถเป็นอาจารย์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้าได้ ย่อมสามารถประเมินถึงความแข็งแกร่งของเขาได้แล้ว ด้วยผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้อยู่ข้างกายของนางตลอดมา นางกลับไม่รู้อะไรเลย ยังทำเซ่อๆ ซ่าๆ คอยให้ความช่วยเหลือเขาอยู่
สำหรับตัวเหยียนเฉินเซินไม่กล้ารั้งอยู่ที่ตรงนี้นาน ภายใต้การพยุงของนักศึกษาคนอื่นๆ หนีจากที่นี่ไปด้วยความเศร้าหมองนานแล้ว ครั้งนี้เดิมทีเขาคิดอยากจะสั่งสอนหลี่ชิเย่สักครั้งเท่านั้น ไม่นึกเลยว่าตัวเองกลับจะต้องเป็นฝ่ายเสียหน้าอย่างแรง ทั้งยังไม่สามารถแก้แค้นต่อหลี่ชิเย่อีกด้วย ต่อให้ในใจของเขามีความอัดอั้นมากมายเพียงใดก็ตาม ได้แต่กลืนมันลงท้องไปเท่านั้น
อวี่เชียนเสวียนนำพาหลี่ชิเย่เข้าไปยังสถาบันศึกษาเทพเจ้า มุ่งหน้าไปยังทิศทางอันเป็นที่ตั้งของเรือนตำรา แม้จะกล่าวว่าประตูด้านทิศใต้คือประตูที่อยู่ใกล้กับเรือนตำรามากที่สุด ในความเป็นจริงแล้วก็ห่างกันนับหมื่นลี้
พื้นที่ของสถาบันศึกษาเทพเจ้ากว้างใหญ่เหลือเกิน เมื่อเดินเหินอยู่กลางอากาศ มองเห็นภาพของแม้น้ำใหญ่ที่คดเคี้ยว ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทะลุเมฆา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเทือกเขาขนาดยักษ์ที่อยู่บนพื้นดิน พฤกษาดึกดำบรรพ์ไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่สูงเทียมฟ้า เป็นผืนแผ่นดินที่งดงามยิ่งปรากฎอยู่ตรงหน้า
อีกทั้งบริเวณผืนแผ่นดินแห่งนี้ไม่เพียงมีพลับพลาลอยฟ้า หอโบราณที่สร้างอยู่บนยอดเขาขนาดยักษ์ ท่ามกลางพื้นที่แห่งนี้ยังมีกำแพงเมืองขนาดยักษ์สามถึงห้าแห่ง ท่ามกลางกำแพงเมืองแต่ละแห่งดูคึกคักอย่างยิ่ง ผู้คนที่เดินเออัดยัดเยียดผ่านไปผ่านมา มีสินค้าให้เลือกซื้อหาได้ทุกอย่าง
อาจกล่าวได้ว่าสถาบันศึกษาเทพเจ้าไม่ได้เป็นเพียงสถานศึกษาเท่านั้น ในบางแง่มุมมันเหมือนเป็นแคว้นๆ หนึ่งมากกว่า เพียงแต่มันไม่ได้มีโครงสร้างของความเป็นแคว้นเท่านั้นเอง
“เรือนตำรามีนักศึกษาเพียงแค่สามคนเท่านั้น” อวี่เชียนเสวียนได้พูดกับหลี่ชิเย่ขณะอยู่ระหว่างเดินทาง “ไม่ทราบว่าคุณชายมีความเห็นเป็นเช่นใด?”
“สามคนก็สามคน” หลี่ชิเย่พูดออกมาตามอารมณ์ยิ่งนัก เพียงเอ่ยเรียบๆ ขึ้นมาว่า “ยุคสมัยเปลี่ยนไป ทุกคนต่างเร่งรัดในการฝึกปรือ แต่กลับลืมบางสิ่งไป และหรือยุคสมัยไม่ได้เปลี่ยน แต่ผู้คนบนโลกมักจะต้องการความสำเร็จและผลประโยชน์ที่รวดเร็ว เพียงแต่มองโลกในแง่ดีมากกว่าเก่าเท่านั้นเอง” ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วต้องทอดถอนใจออกมา
“ฟังจากเหล่าผู้เฒ่าของสถาบันเล่าว่า ยุคหลังๆ มานี้นักศึกษาของเรือนตำราลดน้อยลงไปมากจริงๆ ไม่เหมือนเก่าก่อน” อวี่เชียนเสวียนยิ้มกล่าวเจื่อนๆ
จะมีสักกี่คนที่ยินดีถ่อมาที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าเพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียมประเพณีกันเล่า ทุกคนที่มายังสถาบันศึกษาเทพเจ้าล้วนแล้วแต่ต้องการฝึกบำเพ็ญเพียร ต้องการฝึกเคล็ดวิชา ฝึกปรือสุดยอดวิชาในหล้า กล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากแล้ว การมาที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าเพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นการเสียเวลาเปล่า สูญเสียพลังงานโดยใช่เหตุ
“สิ่งนี้ก็คือข้อแตกต่างระหว่างมนุษย์ปุถุชนธรรมดากับผู้มีปัญญา” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบๆ ว่า “บางคนเข้าใจเหตุผลสิ่งนั้น บางคนสามารถทนต่อความอ้างว้างได้ ดังนั้นพวกเขาสามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุด การที่เหล่าราชันเซียนได้ทิ้งเรือนตำราเช่นนี้เอาไว้ ไม่ได้ต้องการให้ชนยุคหลังมารำลึกถึงตนเองเท่านั้น และไม่ได้ต้องการให้ประวัติศาสตร์ได้บันทึกเรื่องราวของตนเอง”
“ถ้าหากสามารถเข้าใจถึงความลึกซึ้งพิสดารที่อยู่ภายใน ไหนเลยต้องไปกังวลวันในโลกนี้ปราศจากเคล็ดวิชาประหลาดที่จะฝึก” อวี่เชียนเสวียนพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดเช่นนี้ นางที่มีชาติกำเนิดมาจากจวนกู่ นางรู้อะไรมากกว่า และเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ว่า “เทพโบราณกุยฝานก็คือหนึ่งในจำนวนนั้น”
เมื่อพูดถึงเรือนตำราแล้ว ทุกคนต่างรู้ว่าเรือนตำราเป็นสถานที่ที่บันทึกเรื่องราวต่างๆ ของราชันเซียนเก้าแดนและเซียนหวังของร้อยชาติพันธุ์ และยังได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณีของสิบสามทวีป ในสายตาของผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากมองว่าเรือนตำราเป็นเพียงคลังตำราแห่งหนึ่งเท่านั้น มีไว้เพื่อเผยแพร่และยกย่องผลงานวีรกรรมของราชันเซียนเก้าแดน เซียนหวังร้อยชาติพันธุ์เท่านั้น มันหาใช่ชั้นเรียนที่เหมาะแก่การฝึกปรือ ดังนั้นนักศึกษาจำนวนมากต่างไม่ยินดีเข้าศึกษาในเรือนตำรา
แต่ผู้คนบนโลกนี้กลับไม่รู้ว่า ในฐานะที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าเป็นสิ่งที่ใหญ่โตมโหฬารและเก่าแก่โบราณ มันกลับมีชั้นเรียนที่เป็นเรือนตำราเช่นนี้เอาไว้ ทั้งยังจัดวางอยู่ในตำแหน่งร่วมกับอีกสี่ชั้นเรียน ในนั้นย่อมต้องมีความหมายที่ลึกซึ้งอยู่แล้ว ข้างในซ่อนความลึกซึ้งพิสดารที่บุคคลทั่วไปไม่สามารถรับรู้ได้ มีเพียงผู้ที่อดทนต่อความอ้างว้าง และสะกดจิตแห่งการบำเพ็ญเพียร เอาไว้ได้ จึงจะสามารถได้รับดอกผลจากที่ตรงนี้ได้
เทพโบราณกุยฝานคือหนึ่งในนั้น แน่นอนที่สุด สิ่งที่เทพโบราณกุยฝานร่ำเรียนมาชั่วชีวิตย่อมไม่ได้มาจากเรือนตำรา และเขาก็ไม่ได้อาศัยเรือนตำราไปได้สุดยอดเคล็ดวิชาบางอย่างแล้วจึงปราศจากผู้ต่อกรทั่วหล้า
ขณะที่เทพโบราณกุยฝานยังอยู่ในวัยหนุ่มเคยมาอยู่ที่เรือนตำรามาก่อน เทพโบราณกุยฝานเคยทำการศึกษาอย่างตั้งอกตั้งใจอยู่ในเรือนตำรา สุดท้าย ทำให้เขาได้รับเคล็ดวิชาคืนสู่ปุถุชนฉบับสมบูรณ์ที่เป็นต้นฉบับ เป็นการวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับเส้นทางในอนาคตของเขา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...