โลกภายนอกหายไปแล้ว ทั่วทั้งสถาบันศึกษาเทพเจ้าตกไปอยู่ในโลกดึกดำบรรพ์ที่ไร้ซึ่งอารยะธรรม ทอดสายตามองออกไป โลกดึกดำบรรพ์ที่ไร้ซึ่งอารยะธรรมโลกนี้มองไม่เห็นขอบเขตสิ้นสุด เหมือนว่าที่ตรงนี้ได้หลุดออกจากทวีปเจียวเหิงโจวโดยสิ้นเชิง แยกออกจากสิบสามทวีปอย่างนั้น
โลกที่อยู่ตรงหน้านับว่าน่าเกรงขามมากเหลือเกิน และกว้างใหญ่ไพศาลเกินไป แค่ต้นไม้ยักษ์ต้นหนึ่งก็สามารถปกคลุมพื้นที่นับพันลี้ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์หนึ่งลูกก็สามารถทะลุถึงจักรวาล เสมือนหนึ่งเป็นศูนย์กลางของจักรวาลอย่างนั้น สามารถมองเห็นดวงดาวดวงใหญ่แต่ละดวงที่โคจรล้อมรอบ สร้างความสะเทือนหวั่นไหวกับผู้คนยิ่งนัก
ขณะที่สถานที่ที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าตั้งอยู่ในขณะนี้ เป็นเพียงมุมเล็กๆ มุมหนึ่งของโลกนี้เท่านั้นเอง สถาบันศึกษาเทพเจ้านับว่ากินเนื้อที่กว้างขวางมากพออยู่แล้ว แต่ก็เป็นเพียงมุมเล็กๆ มุมหนึ่งท่ามกลางโลกที่ดึกดำบรรพ์แห่งนี้เท่านั้น สถาบันศึกษาเทพเจ้าเป็นเพียงเม็ดทรายเม็ดหนึ่งในทะเลเท่านั้นเอง
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?” ไม่รู้ว่ามีนักศึกษาจำนวนเท่าไรที่มองหน้ากันและกันเมื่อเห็นโลกภายนอกหายไป ยิ่งกว่านั้นยังรู้สึกขนลุกซู่ในใจ รู้สึกเหมือนว่าภายในชั่วข้ามคืนพวกเขาก็เสมือนหนึ่งถูกโลกทอดทิ้งอย่างนั้น
ไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อย่าว่าแต่นักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้าเลย แม้แต่อาจารย์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้าจำนวนไม่น้อยก็ไม่รู้ว่ารายละเอียดเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ตึง ตึง ตึงจังหวะที่นักศึกษาจำนวนไม่น้อยกำลังสะเทือนหวั่นไหวกับเรื่องเช่นนี้อยู่นั้น เสียงเตือนฉุกเฉินของสถาบันศึกษาเทพเจ้าดังขึ้นอีกครั้ง เสียงของผู้อำนวยการได้ดังไปทั่วทุกมุมของสถาบันศึกษาเทพเจ้า “รีบเร่งกลับเข้าป้อมปราการนิรภัย มิฉะนั้นแล้วจะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยตนเอง!”
นักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่อยู่ด้านนอกทยอยกันล่าถอยกลับเข้าไปยังป้อมปราการนิรภัย เมื่อได้ยินเสียงกล่าวเตือนเช่นนี้ แต่ยังคงมีนักศึกษาจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะนักศึกษาอัจฉริยะจากจวนราชันยังคงรั้งอยู่ข้างนอกต่อไป
ในขณะที่ผู้คนจำนวนมากได้ล่าถอยกลับไปยังป้อมปราการนิรภัยแล้วนั้น นายน้อยทะยานฟ้า เทพบุตรซือจง และยุวกษัตริย์หกกระบี่ที่เป็นสามเทพบุตรสถาบันถึงกับลักลอบหนีออกไป พวกเขาหนีไปหากู่ฉวี่หัง
กู่ฉวี่หังพักอาศัยตามลำพังอยู่บนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง มีวิมานที่เป็นของตนเอง กล่าวได้ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นหนึ่งในเขตที่ปลอดภัยมากที่สุดของสถาบันศึกษาเทพเจ้า
“อาจารย์ นี่ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” แม้แต่นายน้อยทะยานฟ้าที่มีประสบการณ์กว้างขวางก็ไม่เข้าใจว่านี่มันเป็นเรื่องอะไรกันแน่ รีบเร่งมาขอคำชี้แนะจากกู่ฉวี่หัง
“เจ้าสามารถเรียกสิ่งนี้ว่าคืนกลับ…” ท่าทางของกู่ฉวี่หังสุภาพสง่างามและมีความเป็นเลิศ ไม่สะทกสะท้าน ดูมีท่วงทีกิริยาท่าทางที่งดงามเหนือผู้คน
“คืนกลับ?” พวกยุวกษัตริย์หกกระบี่ล้วนแล้วแต่งงเป็นไก่ตาแตก และกล่าวว่า “คืนกลับอะไรรึ?”
กู่ฉวี่หังกล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “นี่คือการคืนกลับโลกที่เป็นของสถาบันศึกษาเทพเจ้า ที่นี่แหละจึงจะเป็นสถาบันศึกษาเทพเจ้า มาวันนี้มันได้ปรากฏตัวอยู่ที่ตรงนี้อีกครั้งหนึ่ง หรือกล่าวให้ถูกต้องนี่แหละคือการคืนกลับอย่างหนึ่ง”
“สถาบันศึกษาเทพเจ้าเป็นของโลกใบนี้? นี่ นี่ นี่มันเป็นไปไม่ได้ สถาบันศึกษาเทพเจ้าขึ้นอยู่กับทวีปเจียวเหิงโจว จะเป็นของโลกใบนี้ได้อย่างไรกัน” เทพบุตรซือจงถึงกับกล่าวด้วยความตกใจอย่างยิ่ง
กู่ฉวี่หังเพียงแต่นั่งนิ่งอมยิ้มไม่ตอบคำถาม ดูช่างไม่สะทกสะท้าน สง่างามสุภาพ และช่างมั่นใจอะไรอย่างนั้น เหมือนว่าทุกสิ่งล้วนแล้วแต่อยู่ในความควบคุมของเขา
“อาจารย์ นี่ นี่เป็นเรื่องจริงรึ?” นายน้อยทะยานฟ้าเอ่ยถามจริงจัง “มีเรื่องเช่นนี้จริงๆ หรือ? หรือว่าสถาบันศึกษาเทพเจ้าถือเป็นต่างเผ่าพันธุ์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับโลกของเรา?”
“ไม่ใช่ต่างเผ่าพันธุ์ มันก็ถือเป็นโลกของเราเหมือนกัน” กู่ฉวี่หังใบหน้าแฝงด้วยรอยยิ้มและกล่าวขึ้นช้าๆ เขากลับยินดีที่ออกปากชี้แนะต่อนายน้อยทะยานฟ้าบ้าง เพราะเขานับเป็นศิษย์ของเขาคนหนึ่ง
“นี่เป็นตำนานเรื่องหนึ่ง ตำนานที่ถูกปิดบังซ่อนเร้นโดยสถาบันศึกษาเทพเจ้าไปแล้ว ลองนึกดู ครั้งนั้นราชันเซียนเฟยได้รับการสนับสนุนจากราชันเทพจงหนาน เพราะอะไรจึงได้เลือกที่จะก่อตั้งสถาบันศึกษาเทพเจ้าขึ้นที่นี่กันเล่า?” กู่ฉวี่หังกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ท่ามกลางสิบสามทวีปมีสถานที่ยอดเยี่ยมศักดิ์สิทธิ์ วิมาน และพื้นที่ในความควบคุมของกฎเกณฑ์แห่งฟ้าดินจำนวนมากมาย ขอเพียงราชันเซียนเฟยต้องการ เขาสามารถเลือกพื้นที่ที่ยอดเยี่ยมมากมาก่อตั้งสำนักเช่นนี้ขึ้นมา แต่ ราชันเซียนเฟยกลับจะก่อตั้งสถาบันศึกษาเทพเจ้าอยู่ในพื้นที่ที่ไร้ซึ่งอารยะธรรมกระทั่งปราศจากผู้คน ทำไปเพื่ออะไรกันแน่?”
พวกของเทพบุตรซือจงสามคนถึงกับมองตากันและกันเมื่อได้ยินคำพูดของกู่ฉวี่หัว เนื่องจากปัญหาข้อนี้พวกเขาก็เคยได้ยินมาก่อน เพียงแต่ไม่คำตอบที่แน่ชัด และไม่มีใครสามารถให้รายละเอียดของคำตอบนี้ได้ เนื่องจากไม่มีใครรู้ว่าครั้งนั้นราชันเซียนเฟยคิดอย่างไร
“ความจริงแล้วในนี้เกี่ยวพันถึงตำนานเรื่องหนึ่ง” กู่ฉวี่หังมองดูพวกของนายน้อยทะยานฟ้าสามคน กล่าวกับพวกเขาด้วยใบหน้าที่แฝงด้วยรอยยิ้มว่า “ในตำนานที่เก่าแก่ดึกดำบรรพ์บอกว่า เชื่อว่ามีการดำรงอยู่ของโลกดึกดำบรรพ์แห่งหนึ่ง”
“การดำรงอยู่ของโลกดึกดำบรรพ์แห่งหนึ่ง?” ยุวกษัตริย์หกกระบี่กล่าวว่า “เป็นโลกของเซียนรึ?”
“ไม่ใช่ โลกนี้มีโลกของเซียนเสียที่ไหนกัน” กู่ฉวี่หังหัวเราะและส่ายหน้ากล่าวว่า “กล่าวให้ถูกต้อง นี่คือโลกที่ถูกทอดทิ้ง ในโลกดึกดำบรรพ์นี้ไม่มีใครอาศัยอยู่ กระทั่งโลกดึกดำบรรพ์นี้เป็นโลกที่ถูกทอดทิ้งในสภาพที่สมบูรณ์ หรือว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ของโลกดึกดำบรรพ์แห่งหนึ่งคงไม่มีใครทราบ สรุปก็คือในตำนานเก่าแก่ดึกดำบรรพ์เข้าใจว่า การดำรงอขู่ของโลกดึกดำบรรพ์นี้เป็นความจริง เพียงแต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่มีผู้ใดค้นพบเท่านั้นเอง”
“ภายหลังราชันเซียนเฟยได้ค้นพบโลกดึกดำบรรพ์แห่งนี้?” ในเวลานี้นายน้อยทะยานฟ้าตระหนักถึงอะไรบางอย่าง ถึงกับเอ่ยถามขึ้นมา
กู่ฉวี่หังอมยิ้ม พยักหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ถูกต้อง ราชันเซียนเฟยค้นพบโลกดึกดำบรรพ์ดังกล่าวนี้ เป็นโลกที่ถูกทอดทิ้ง สำหรับเรื่องที่ว่าโลกนี้ถูกทอดทิ้งด้วยสาเหตุใดนั้นไม่สามารถรู้ได้ แต่ทว่า ประเด็นสำคัญก็คือ ราชันเซียนเฟยถูกใจกับความอุดมสมบูรณ์ของโลกใบนี้”
เมื่อกู่ฉวี่หังเอ่ยมาถึงตรงนี้ได้หยุดนิดหนึ่ง แล้วกล่าวต่อไปว่า “โลกดึกดำบรรพ์นี้อยู่ติดกับที่ราบสูงไร้ซึ่งอารยะธรรม อาศัยที่ราบสูงไร้ซึ่งอารยะธรรมนี้สามารถกำหนดพิกัดที่แม่นยำตัดเข้าไปยังโลกดึกดำบรรพ์นี้ได้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...