หวู่เสียนยวี่รู้สึกตกใจยิ่งและก้าวถอยหลังติดต่อกันหลายก้าว เมื่อเห็นหลี่ชิเย่ เดินเข้ามาหาตน
“เจ้า เจ้า เจ้าคิดจะทำอะไร?” หวู่เสียนยวี่ร้องตวาดเสียงดังออกไป
“แล้วเจ้าคิดว่าล่ะ?” หลี่ชิเย่ยิ้มแต้และกล่าวว่า “ข้าไม่ได้ฆ่าคนมาระยะหนึ่งแล้ว รู้สึกคันมือขึ้นมากะทันหัน ดังนั้นจึงคิดจะให้หายอยากอีกสักหน่อย”
“เจ้า เจ้าอย่าทำบ้าๆ นะ” สีหน้าของหวู่เสียนยวี่ขาวซีด ร้องเสียงดังขึ้นมา ย่อมไม่ต้องสงสัยว่าเขาเองก็รู้ว่าหลี่ชิเย่นั้นแข็งแกร่งมากกว่าตน
“ถ้าหากข้าทำอะไรบ้าๆ ล่ะ?” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าว
“เจ้า เจ้าสมควรทราบว่า แม้ว่าข้า ข้าจะมีเพียงคนเดียว แต่ศิษย์พี่โจวของข้าคืออัครทูต เจ้า เจ้า เจ้ากล้าแตะต้องข้า ศิษย์พี่ของข้าจะไม่ยอมเลิกราเด็ดขาด” หวู่เสียนยวี่ร้องกล่าวเสียงดังออกมา
“อัครทูตคืออะไร? กินได้ไหม?” หลี่ชิเย่กล่าวโดยไม่ใส่ใจ
สีหน้าของหวู่เสียนยวี่เปลี่ยนไปมากทีเดียว ร้องกล่าวเสียงดังออกมาว่า “ศิษย์พี่โจวของข้าคืออัครทูตภายใต้บังคับบัญชาของนายน้อยมู่ ได้รับการโปรดปราณจากนายน้อยมู่ เจ้าสมควรทราบว่าพวกเราคือคนของนายน้อยมู่ ถ้าหากเจ้าฆ่าข้า เท่ากับไม่ขออยู่ร่วมโลกกับนายน้อยมู่ เกรงว่าคงไม่ต้องให้ข้าไปพูดให้มากความเกี่ยวกับความน่ากลัวของนายน้อยมู่ เจ้า เจ้าสมควรรู้ดีอยู่แล้ว!”
ในที่สุดหวู่เสียนยวี่ก็ยกเอาผู้ที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลังออกมาแล้ว ในเวลานี้เขาถูกทำให้หวาดกลัวอย่างยิ่ง จึงไม่อาจไม่ยกเอาชื่อผู้ที่หนุนหลังออกมาขู่หลี่ชิเย่
บรรดายอดฝีมือรุ่นอาวุโสต่างมีสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไป เมื่อหวู่เสียนยวี่ได้ยกเอาผู้ที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลังออกมา บรรดาบรรพบุรุษของตระกูลขุนนางโบราณ เจ้าสำนักของสำนักเจ้าลัทธิพลันมีท่าทีที่หนักแน่นจริงจังขึ้นมาทันที แม้แต่ตันหวังฟงเซี่ยวเฉินก็มีท่าทีที่หนักแน่นจริงจังขึ้นมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่หวู่เสียนยวี่ประกาศชื่อ ‘นายน้อยมู่’ ออกมานั้น ไม่รู้ว่าในใจของผู้คนจำนวนเท่าไรต้องเย็นวาบทีหนึ่ง ตรงกันข้าม กลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยกลับไม่รู้จักชื่อของ ‘นายน้อยมู่’ กลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนมากรู้แต่เพียงหวู่เสียนยวี่ได้ติดตามศิษย์พี่ของเขาโจวจื้อคุนอยู่กับผู้ให้การสนับสนุนที่สุดยอดมาก ประจบสอพรอผู้มีอำนาจ แม้แต่แคว้นเจ้าลัทธิจำนวนมากก็ต้องให้เกียรติเขาอยู่สามส่วน
“นายน้อยมู่คือผู้ใดนะเนี่ย?” มีผู้เยาว์ที่อดเอ่ยถามผู้อาวุโสของตนด้วยเสียงแผ่วเบาไม่ได้
“จุ๊จุ๊…” ผู้อาวุโสรีบห้ามปรามผู้เยาว์ของตนด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “พูดไม่ได้ ห้ามเอ่ยถึง นี่เป็นบุคคลที่ไม่ควรเอ่ยถึงให้มากความ”
“นายน้อยมู่ ไม่เคยได้ยิน? คนแซ่มู่นับเป็นตัวอะไร?” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหย
“เจ้า เจ้า เจ้าตายแน่แล้ว!” คราวนี้หวู่เสียนยวี่ถึงกับมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปมากทีเดียว ร้องเสียงดังขึ้นมาว่า “เจ้า เจ้ากล้าดูหมิ่นนายน้อยมู่ถึงเพียงนี้ โทษสมควรตายหมื่นครั้งอภัยให้ไม่ได้ คำพูดนี้หากเข้าหูนายน้อยมู่ล่ะก็ เกรงว่าต้องถูกสังหารเก้าชั่วโคตร…”
มาคราวนี้ไม่เพียงหวู่เสียนยวี่ที่ถูกหลี่ชิเย่ทำให้หวาดกลัว ขณะเดียวกันก็ถูกคำพูดของหลี่ชิเย่ทำให้ต้องหวาดกลัว เนื่องจากคำพูดที่ดูหมิ่นต่อนายน้อยมู่เช่นนี้ หากเข้าถึงหูล่ะก็ เกรงว่านายน้อยมู่จะต้องโกรธ และเมื่อไรที่นายน้อยมู่โกรธ ผลของมันยากจะจินตนาการได้
แต่ทว่าหวู่เสียนยวี่พูดยังไม่ทันจบ มองเห็นร่างเงาของหลี่ชิเย่แวบหนึ่ง คอของหวู่เสียนยวี่ก็ถูกหลี่ชิเย่บีบเอาไว้ และถูกยกให้ลอยอยู่เหนือพื้นดิน
“ดูหมิ่นรึ?” หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเอ้อระเหยว่า “อะไรที่เรียกว่าดูหมิ่น? เหล่าเทพของเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดินกล้าไม่ให้ความเคารพต่อข้า นั่นก็คือการดูหมิ่น! แค่มดปลวกตัวหนึ่งเท่านั้น ถือดีอย่างไรเอ่ยคำว่าดูหมิ่นสองคำนี้? นายน้อยมู่อะไรนั่น ไม่มีสิทธิ์กระทั่วคุกเข่าตรงหน้าของข้าแล้วเลียพื้นรองเท้าของข้า อย่าว่าแต่คำว่าดูหมิ่นสองคำนี้”
“พวก พวก พวกเจ้ารีบขวางคนบ้าคนนี้เอาไว้ มิฉะนั้นล่ะก็ เมื่อถึงเวลานั้นแล้วเกรงว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะต้องเดือดร้อนกันไปหมด พวกเจ้าควรจะรู้ถึงความน่ากลัวของนายน้อยมู่ เมื่อไรที่นายน้อยมู่โกรธล่ะก็ เกรงว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะจะต้องกลายเป็นเถ้าธุลีไป” หวู่เสียนยวี่ที่ต้องเผชิญกับรอยยิ้มที่เหมือนดั่งมารร้ายแล้วตกใจจนปัสสาวะอุจจะระราด วิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง
ผู้อาวุโสของตระกูลขุนนางโบราณ และเจ้าสำนักของสำนักเจ้าลัทธิจำนวนไม่น้อยต่างมีสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินคำพูดของหวู่เสียนยวี่ เรื่องเช่นนี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
“คุณชาย ถอยก้าวหนึ่งทะเลกว้างท้องนภาสูง เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องสังหารจนไม่เหลือเลยก็ได้” ระดับผู้อาวุโสรุ่นบุกเบิกของตระกูลขุนนางโบราณคนหนึ่งส่งเสียงไอทีหนึ่ง ต้องการห้ามปรามต่อหลี่ชิเย่
“นั่นสิ ถอยก้าวหนึ่งทะเลกว้างท้องนภาสูง จะอย่างไรเสียนายน้อยมู่คือผู้ที่มาจากเบื้องบน พวกเรามีเรื่องเพิ่มขึ้นเรื่องหนึ่งมิสู้น้อยลงเรื่องหนึ่ง” ระดับบรรพบุรุษคนหนึ่งของตระกูลขุนนางโบราณก็ออกปากเกลี้ยกล่อม
ตรงกันข้ามกับผู้ที่มีฐานะและอำนาจสูงสุดในเหตุการณ์อย่างตันหวังฟงเซี่ยวเฉินกลับไม่พูดอะไรออกมา เขาเข้าใจถึงนิสัยของหลี่ชิเย่ ขนาดประกาศศึกกับแดนลัทธิพรรษทั้งหมดยังไม่หวั่น ลำพังแค่นายน้อยมู่คนเดียวไม่สามารถทำให้เขาหวาดกลัวได้อยู่แล้ว
“เจ้า เจ้าได้ยินแล้วสินะ ถ้าหากเจ้าหวังดีต่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะจริงก็ให้ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ข้ายังสามารถพูดคำพูดเพราะๆ แทนต่อหน้านายน้อยมู่ ไม่เพียงสามารถรักษาระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะเอาไว้ได้ กระทั่งมีประโยชน์ยิ่งใหญ่สำหรับเจ้า ไม่แน่นักอาจสามารถขึ้นไปเบื้องบนได้ ไม่แน่นักอนาคตเจ้าคิดจะขึ้นไปเบื้องบนก็จะมีนายน้อยมู่คอยหนุนหลังเจ้า เจ้าก็สามารถกร่างไปทั่วหล้า” หวู่เสียนยวี่รีบพูดด้วยเสียงอันดังขึ้นมา
หวู่เสียนยวี่ไม่เพียงแต่ข่มขู่หลี่ชิเย่ ยังถือเป็นการหลอกล่อด้วยผลประโยชน์
“อ้อ เช่นนี้แสดงว่านายน้อยมู่คนนี้มีความสามารถมากเลยทีเดียวสิ” หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...