ขณะที่เงินทองตกพื้นกำลังคึกคักอย่างยิ่งนั้น ขณะเดียวกันลึกเข้าไปในตำหนักหมีเซียนกลับมีแต่ความเงียบสงบ กระทั่งไม่มีใครเหยียบย่างไปถึง ต่อให้มีคนที่เคยมา เกรงว่าก็คงไม่มีผู้ใดในหล้าทราบเรื่องนี้
แว้งค์…เสียงหนึ่งดังขึ้น ภายในตำหนักหมีเซียนหลังสุดท้าย ซึ่งก็คือตำหนักหมีเซียนหลังที่หนึ่งร้อยยี่สิบแปดพลันปรากฎประกายแวบหนึ่ง หลี่ชิเย่และหลินซิม่อได้ปรากฏตัวอยู่ที่ตรงนี้
“ตำหนักหมีเซียนหลังที่หนึ่งร้อยยี่สิบแปด!” การปรากฎตัวที่ตำหนักหมีเซียนลักษณะเช่นนี้ทำให้ในใจของหลินซิม่อถึงกับสะเทือนหวั่นไหวหนัก เดิมทีจากการผ่านตำหนักหมีเซียนแต่ละหลังเรื่อยมานั้นนางรู้สึกชินชาไปบ้างแล้ว แต่เมื่อปรากฏตัวขึ้นที่ตำหนักหมีเซียนหลังที่หนึ่งร้อยยี่สิบแปดแล้ว ยังคงทำให้ภายในใจของนางต้องสะดุ้งทีหนึ่ง
นาทีนี้เวลานี้ภายในใจของนางตื่นเต้นจนไม่สามารถบรรยายได้ด้วยตัวอักษร มันอาจมีความเป็นไปได้ว่าเป็นตำหนักหมีเซียนหลังที่ไม่เคยมีใครได้เคยมาถึงตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ต่อให้มีคนที่มาถึงได้ ก็ต้องเป็นผู้ที่ดำรงอยู่ในระดับปฐมบรรพบุรุษ
มาวันนี้ นางกลับมาถึงตำหนักหมีเซียนหลังที่หนึ่งร้อยยี่สิบแปด สิ่งนี้กล่าวสำหรับนางแล้วตื่นเต้นสุดเปรียบเปรย จะอย่างไรเสียเรื่องอย่างนี้คนอื่นไม่สามารถพานพบได้ชั่วชีวิตอยู่แล้ว ต่อให้นางติดตามหลี่ชิเย่มาแล้วไม่ได้ของล้ำค่าแม้เพียงชิ้นเดียวก็ตาม กล่าวสำหรับนางมันก็เพียงพอแล้ว สามารถมาถึงตำหนักหมีเซียนหลังที่หนึ่งร้อยยี่สิบแปดได้มันก็คือโชคดีมากที่สุดในชีวิตของนางแล้ว และเป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของนางแล้ว
ถ้าหากอาศัยนางลำพังคนเดียว เฉกเช่นบุคคลเล็กๆ ที่ไม่คู่ควรจะกล่าวถึง ชั่วชีวิตก็ไม่มีโอกาสได้มาถึงสถานที่แห่งนี้ได้
ตำหนักหมีเซียนหลังที่หนึ่งร้อยยี่สิบแปด ขณะที่ก้าวเข้ามาอยู่ภายในตำหนักหมีเซียนหลังนี้นั้น กลิ่นอายที่ดึกดำบรรพ์ได้โชยมาปะทะใบหน้า พริบตาเดียวนั่นเองหลินซิม่อรู้สึกว่าตนเองไปอยู่ในยุคสมัยที่เก่าแก่โบราณจนสุดจะจินตนาการได้ กลิ่นอายที่ดึกดำบรรพ์เช่นนี้พลันท่วมนางจนจมมิด
ในเวลานี้เอง หลินซิม่อจึงได้สังเกตเห็นว่าตำหนักหมีเซียนหลังนี้แตกต่างกับตำหนักหมีเซียนหลังอื่นๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง จะเห็นว่าตำหนักหมีเซียนหลังนี้ไม่มีส่วนของหลังคาที่เป็นโดม โดยอาศัยท้องฟ้าเป็นหลังคาโดม
ขณะแหงนหน้าขึ้นมอง สิ่งที่สายตาสามารถมองเห็นคือท้องฟ้าที่คราคร่ำไปด้วยดวงดาวที่อยู่ไกลโพ้นยิ่งนัก เหมือนว่าเป็นการอยู่บนท้องฟ้าแห่งดวงดาวและอยู่สูงจนสุดจะจินตนาการ ภายใต้ท้องฟ้าที่คราคร่ำไปด้วยดวงดาวเช่นนี้ ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าตนเองนั้นเล็กจิ๋วยิ่งนัก เสมือนหนึ่งเป็นฝุ่นผงเม็ดหนึ่งของจักรวาลเท่านั้น
แต่ทว่า เมื่อหันมองไปรอบๆ นั้น จะเห็นว่าตำหนักหมีเซียนหลังนี้ไม่มีภาพจิตรกรรมฝาผนัง ทั่วทั้งตำหนักหมีเซียนมีเพียงรูปปั้นแกะสลักที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารอยู่สามสิบหกตัวเท่านั้น โดยที่รูปปั้นแกะสลักทั้งสามสิบหกตัวนี้มีขนาดใหญ่โตจนไม่สามารถจินตนาการได้
รูปปั้นแกะสลักแต่ละตัวสูงใหญ่ยิ่งนัก เสมือนหนึ่งเป็นภูเขาขนาดยักษ์อย่างนั้น ทุกๆ รูปปั้นแกะสลักที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนี้ เสมือนหนึ่งสามารถค้ำโลกๆ หนึ่งได้อย่างนั้น กระทั่งโลกๆ หนึ่งภายใต้พวกมันก็ดูจะมีขนาดที่เล็กจิ๋วมาก
ที่ทำให้ผู้คนต้องสะเทือนหวั่นไหวยิ่งกว่าหาใช่ขนาดที่ใหญ่โตมโหฬารของรูปปั้นแกะสลักทั้งสามสิบหกตัวนี้ แต่เป็นกลิ่นอายจากรูปปั้นแกะสลักสามสิบหกตัวเหล่านี้ แม้จะกล่าวว่ารูปปั้นแกะสลักสามสิบหกตัวนี้จะแกะสลักมาจากก้อนหิน ไม่ได้ผ่านการปลุกเสกให้มีพลังที่สะเทือนฟ้าใดๆ แต่ก็ยังคงเปล่งกลิ่นอายที่น่ากลัวปราศจากผู้ต่อกรออกมา
กลิ่นอายที่น่ากลัวปราศจากผู้เทียบเทียมเสมือนดั่งทะลุผ่านอดีตถึงปัจจุบัน ดึกดำบรรพ์ยิ่งกว่าฟ้าดินเสียอีก เหมือนว่าไม่มีสิ่งใดในหล้าดึกดำบรรพ์ยิ่งไปกว่าพวกมันอีกแล้ว เหมือนว่าไม่มีสิ่งใดยาวนานยิ่งกว่าพวกมันอีกแล้ว เหมือนว่าก่อนที่จะมีต้นกำเนิดของทุกสิ่งทุกอย่าง พวกมันก็ดำรงคงอยู่มาแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่สามารถนำมาพูดเปรียบเทียบกับพวกมันได้อีกแล้ว
หลินซิม่อพลันหมดแรงทรุดลงนั่งอยู่กับพื้น เมื่อรับรู้ถึงกลิ่นอายของรูปปั้นแกะสลักสามสิบหกตัว ท่ามกลางกลิ่นอายลักษณะเช่นนี้ นางรู้สึกว่าตนเองแม้แต่มดปลวกยังไม่มีสิทธิ์ได้เป็น กระทั่งแหงนหน้ามองก็ไม่มีสิทธิ์ กลิ่นอายที่น่ากลัวปราศจากผู้เทียบเทียมเช่นนี้ทำให้นางหายใจไม่ออก
สุดท้าย เมื่อกลิ่นอายของหลี่ชิเย่ได้ครอบคลุมนางเอาไว้ จึงทำให้นางสามารถหยุดพักได้บ้าง ภายใต้การปกคลุมจากกลิ่นอายของหลี่ชิเย่ นางจึงได้รู้สึกว่าการได้อยู่ข้างกายของเขาคือสถานที่ที่ปลอดภัยมากที่สุดในโลก
ไม่ง่ายนัก กว่าหลินซิม่อจะมีพลังเงยหน้าขึ้นมองดูรูปปั้นแกะสลักสามสิบหกตัวนั่น อย่างไรก็ตาม รูปปั้นแกะสลักสามสิบหกตัวนี้ส่วนใหญ่นางไม่รู้จัก ไม่รู้ว่าเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ชนิดใด
“นี่ นี่ นี่มันคืออะไร?” หลินซิม่อถูกทำให้หวั่นไหวโดยสิ้นเชิงขณะมองดูรูปปั้นแกะสลักสามสิบหกตัวนี้ บางทีราชันแท้จริงก็ไม่เกินไปกว่านี้
“ผู้ดำรงอยู่ในฐานะดึกดำบรรพ์ยิ่ง” หลี่ชิเย่มองดูรูปปั้นแกะสลักทั้งสามสิบหกตัวแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “หากเป็นไปได้ บางทีอาจสามารถไล่ย้อนไปถึงอมตะ!”
“อมตะ…” หลินซิม่อถึงกับพูดพึมพำออกมา แต่เรื่องแบบนี้นางไม่เคยนึกถึงมาก่อน เนื่องจากห่างไกลจากนางมากเกินไป ไกลจนนางไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะนึกถึง
“ดึกดำบรรพ์นะเนี่ย…” หลี่ชิเย่มองดูรูปปั้นแกะสลักสามสิบหกตัวที่อยู่ตรงหน้า กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ใครกันแน่ที่เป็นมือมืดที่แท้จริง ใครกันแน่ที่เป็นสิ่งน่าสยองขวัญที่แท้จริง ใครกันแน่ที่เป็นต้นกำเนิดความมืดที่แท้จริง!”
ครั้นหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว แววตาของเขาพลันกลับกลายเป็นลึกล้ำสุดเทียบเทียม ลึกล้ำยากที่จะหยั่งถึง ในเวลานี้เอง แววตาที่ลึกล้ำยิ่งของเขาได้พิจารณารูปปั้นแกะสลักทั้งสามสิบหกตัวนี้อย่างละเอียด
ภายใต้การพิจารณาดูรูปปั้นแกะสลักสามสิบหกตัวนี้อย่างละเอียดนั้น เหมือนว่าเวลาได้จับตัวจนแข็งไปแล้วอย่างนั่น สำหรับหลินซิม่อแม้แต่หายใจแรงยังไม่กล้า
ไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานเท่าไรแล้ว หลี่ชิเย่ได้ละสายตากลับมา ยิ้มบางๆ และกล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ข้าต้องไปสักครั้งแน่ ทุกอย่างได้เวลาต้องจบสิ้นแล้ว มันไม่เพียงเพราะข้าที่ต้องการคำตอบ ยิ่งไปกว่านั้นต้องให้คำตอบกับสรรพชีวิตในหมื่นยุค!”
หลินซิม่อฟังไม่เข้าใจกับคำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่อยู่แล้ว นางไม่รู้ว่าหลี่ชิเย่หมายถึงสิ่งใด ยิ่งไม่รู้ว่าคำตอบที่หลี่ชิเย่ต้องการคืออะไร
“ที่ ที่ ที่ตรงนี้มีอาวุธที่ปราศจากผู้ต่อกรเป็นนิรันดร์ใช่หรือไม่? เป็นอาวุธปราศจากผู้ต่อกรระดับปฐมบรรพบุรุษใช่หรือไม่?” หลินซิม่ออดที่จะเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้ หลังจากผ่านไปชั่วครู่ใหญ่
สมควรทราบว่า สามารถไปถึงตำหนักหมีเซียนหลังที่หลายสิบก็สะเทือนฟ้ายิ่งนักแล้ว สามารถได้รับสมบัติวิเศษที่เป็นหนึ่งไม่มีสองในหล้าแล้ว เวลานี้พวกเขาอยู่ในตำหนักหมีเซียนหลังที่หนึ่งร้อยยี่สิบแปด ซึ่งเป็นตำหนักหมีเซียนหลังสุดท้าย ของล้ำค่าที่จะแลกมาได้จากที่ตรงนี้เกรงว่าจะต้องเป็นระดับปฐมบรรพบุรุษกระมัง เกรงว่าจะต้องเป็นของวิเศษที่ปราศจากผู้ต่อกรในหล้ากระมัง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...