หลี่ชิเย่พาหวู่ปิงหนิง และหลินซิม่อออกจากท่าข้ามไปยังสถานที่แห่งอื่นๆ
หลินซิม่อเดินติดตามหลี่ชิเย่อยู่ด้านหลัง หลายครั้งที่นางอ้าปากจะพูด แต่ท้ายที่สุดไม่ได้พูดออกมาสักคำ นางเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
เทพธิดาสงครามแห่งจูเซียง อัจฉริยะบุคคลที่หยิ่งยโสแห่งแดนลัทธิพรรษ เทพธิดาที่มีผู้หลงใหลอยู่จำนวนเท่าไร และเป็นบุคคลที่เป็นแบบอย่างในทัศนะคติในใจของนาง
ไม่นานมานี้เอง ในความคิดของหลินซิม่อเทพธิดาสงครามแห่งจูเซียงคือผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะสูงส่งมาก อยู่ห่างจากตัวของนางชนิดที่มองได้แต่เอื้อมไม่ถึง อย่างไรก็ตามเวลานี้เทพธิดาสงครามแห่งจูเซียงกลับห่างจากตนใกล้แค่เอื้อม มันเหมือนอยู่ในความฝันอย่างนั้น ดูไม่เหมือนจริง แต่ทว่า นี่เป็นความจริงที่เทพธิดาสงครามแห่งจูเซียงอยู่แค่เอื้อมนี้เอง
“นังหนู ดูท่าการตัดสินใจของเจ้าไม่ธรรมดาเลยนะ” หลี่ชิเย่หัวเราะและพูดกับหวู่ปิงหนิง
นาทีนี้หวู่ปิงหนิงถึงกับมองไปข้างหน้าที่ห่างไกลออกไป ท่าทางสับสนนิดหนึ่ง แต่จากนั้นสายตาได้เพ่งไปข้างหน้า นางได้กลับกลายเป็นผู้ที่มีความสามารถชำนิชำนาญ ไม่มีท่าทีของความลังเลอีก
“ชีวิตคนเราย่อมมีช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจเอง ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ย่อมดีกว่าปล่อยให้มันไหลไปตามสายน้ำ” หวู่ปิงหนิงเอ่ยขึ้นช้าๆ
“ก็ใช่ บางครั้งการเลือกจะบ่งบอกถึงความเจ็บปวด” หลี่ชิเย่กล่าวจางๆ ว่า “ยามที่ก้าวเท้าก้าวนี้ออกมาแล้ว มีเพียงเวลาเท่านั้นที่ให้เจ้าเองไปทำความเข้าใจว่ามันถูกหรือผิด”
หวู่ปิงหนิงทอดภอนใจออกมาเบาๆ ไม่ต้องการพูดอะไรต่อไปอีก นางเงยหน้าขึ้นจ้องมองหลี่ชิเย่ และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “บรรพบุรุษพวกเราไม่เชื่อว่าเจ้าได้ครอบครองสิบสองกระบวนท่า”
“ข้าไม่ต้องการให้ผู้อื่นเชื่อ” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมย และกล่าวว่า “เมื่อพลาดโอกาสไปมันเป็นความเสียหายของพวกเขาไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับข้า ถ้าหากเจ้าเชื่อก็เพียงพอแล้ว”
ภายในใจของหวู่ปิงหนิงถึงกับทอดถอนใจขึ้นมา สำหรับการจัดวางระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของตนนั้น นางเคยพยายามดำเนินการให้บรรลุผล เคยพยายามไปเปลี่ยนแปลงมัน เสียดาย บรรพบุรุษที่กุมอำนาจจูเซียงหวู่ถิงของพวกเขาไม่เชื่อในคำพูดของนาง สุดท้ายเป็นหวู่ปิงหนิงตัดสินใจของนางเอง
“ไม่มีปัญหาแล้วล่ะ” หวู่ปิงหนิงสะบัดผมของนางทีหนึ่ง ดูไม่แสแสร้งเคอะเขิน ยิ้มกล่าวว่า “ในเมื่อข้ามาพึ่งพาเจ้าแล้ว เจ้าก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม เจ้าคือผู้ที่ล่อลวงผู้สืบทอดของจูเซียงหวู่ถิงพวกเราไป มีโทษมหันต์ การเป็นศัตรูกับจูเซียงหวู่ถิงของพวกเรา เมื่อถึงเวลานั้นก็จะมียอดฝีมือล้อมปราบเจ้าอย่างไม่ขาดสาย!”
“ข้ากลัวศัตรูจำนวนมากอย่างนั้นรึ?” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมยว่า “มาคนหนึ่งฆ่าคนหนึ่ง มาสองคนประหารคู่หนึ่ง มาร้อยคนสังหารร้อยคน มาหมื่นคนเข่นฆ่าหนึ่งหมื่น…”
หวู่ปิงหนิงถึงกับมีท่าทีลังเลนิดหนึ่ง สุดท้ายนางก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ทอดถอนใจเบาๆ คำหนึ่ง
“เห็นแก่เจ้า ข้าไม่ทำลายล้างจูเซียงหวู่ถิงของพวกเจ้าก็แล้วกัน” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวด้วยท่าทีเฉยเมย
หวู่ปิงหนิงถึงกับยิ้มเจื่อนๆ นางยังจะพูดอะไรได้อีก ศักยภาพจูเซียงหวู่ถิงพวกเขาจัดอยู่ในสามอันดับแรกของแดนลัทธิพรรษ คนอื่นไม่กล้าแม้กระทั่งเป็นศัตรูกับจูเซียงหวู่ถิง อย่างไรก็ตาม หลี่ชิเย่ในเวลานี้ถึงกับออกปากจะทำลายล้างจูเซียงหวู่ถิงพวกเขาตามอารมณ์
หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นต้องคิดว่าหลี่ชิเย่นั้นวาจาสามหาวไม่ละอายปาก แต่ในใจของหวู่ปิงหนิงรู้ดีว่า หลี่ชิเย่เป็นคนที่พูดแล้วทำได้ตามที่พูด
หลินซิม่อติดตามอยู่ด้านหลังพวกเขา ฟังการสนทนาของพวกเขาเงียบๆ กล่าวสำหรับนางแล้ว เวลานี้สิ่งที่นางสามารถสัมผัสได้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่นางไม่สามารถสัมผัสได้ในอดีตทั้งสิ้น
ตึง ตึง ตึง…จังหวะที่หลี่ชิเย่พาหวู่ปิงหนิง และหลินซิม่อเดินทางต่อไปข้างหน้านั้น ทันใดนั้นได้ยินเสียงที่หนักแน่นดังก้องอยู่ในฟ้าดิน ซึ่งเสียงตึง ตึง ตึงนี้เหมือนเป็นเสียงกลองอย่างนั้น
ขณะที่ได้ยินเสียงตึง ตึง ตึงนั้น หลี่ชิเย่ได้หยุด และฟังเสียงที่ดังตึง ตึง ตึงเสียงนี้
“เป็นอะไรไปรึ?” หลินซิม่อถึงกับตะลึงงันนิดหนึ่ง เมื่อเห็นหลี่ชิเย่หยุดเดิน
‘เมืองปี้โซ่วเฉิง’ สายตาของหลี่ชิเย่จ้องมองไประยะห่างไกล เหมือนว่าสายตาของเขาได้ก้าวข้ามทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้ว
“ดูท่าพวกเราต้องไปที่เมืองปี้โซ่วเฉิงสักครั้งหนึ่งก่อน เมื่อจัดการเรื่องราวบางอย่างให้เรียบร้อยแล้วจึงพาเจ้าไปตามหาสุสานกระบี่ได้” หลี่ชิเย่ละสายตากลับมา และเอ่ยขึ้นช้าๆ
หลินซิม่อพยักหน้า นางเองก็ตัดสินใจอะไรไม่ได้ จะอย่างไรเสียอาศัยกำลังของตนโดยลำพังคิดจะได้สุสานกระบี่มาครอบครอง เกรงว่าคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ความจริงแล้ว ไม่เพียงแต่หลี่ชิเย่เท่านั้นที่ได้ยินเสียงกลองที่ดังตึง ตึง ตึงเช่นนี้ ผู้คนจำนวนมากที่อยู่ในเงินทองตกพื้นก็ได้ยินเสียงที่ดังตึง ตึง ตึงเช่นนี้ ซึ่งเสียงดังตึง ตึง ตึงคล้ายเสียงกลองนี้ดังก้องอยู่ในเงินทองตกพื้น จึงทำให้ผู้ที่อยู่ในเงินทองตกพื้นทุกหนทุกแห่งล้วนแล้วแต่ได้ยินเสียงเช่นนี้
“ฟังสิ นี่มันเสียงอะไร” มีผู้บำเพ็ญตนที่ไม่รู้ว่านี่เป็นเสียงของอะไร เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
‘เมืองปี้โซ่วเฉิง’ ยอดฝีมือรุ่นอาวุโสเมื่อได้ยินเสียงนี้แล้ว รู้ได้ทันทีว่ามันคือเสียงอะไร
“ไป พวกเราไปดูสักหน่อย” ในเวลานี้เอง มียอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยทยอยกันละทิ้งเรื่องต่างๆ และมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่เป็นต้นเสียงดังตึง ตึง ตึงนั่น
‘เมืองปี้โซ่วเฉิงเปิดแล้ว’ ภายในระยะเวลาอันสั้น ข่าวคราวเกี่ยวกับเมืองปี้โซ่วเฉิงได้ถูกแพร่ออกไปทันที
“เมื่อถึงเวลาเจ้าก็จะรู้เอง” ผู้อาวุโสถึงกับมองตามร่องเขาที่ราบเรียบไปยังที่ที่ห่างไกล สายตาตรงไปถึงทะเลที่อยู่ห่างไกลออกไป แต่ทะเลยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
“เมืองปี้โซ่วเฉิงมีสมบัติล้ำค่าอะไรรึ? พวกเรารุดมาจากตำหนักหมีเซียนเลยนะเนี่ย” มีศิษย์ที่รู้สึกแปลกใจ
ผู้อาวุโสของสำนักมองไปที่เมืองปี้โซ่วเฉิง สุดท้ายได้เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “มีของอยู่ไม่น้อยทีเดียว เป็นต้นว่าน้ำพุสัตว์ กระดูกเต๋าต่างๆ เป็นต้น ที่สำคัญมากที่สุดก็คือไข่สัตว์!”
“ไข่สัตว์?” เมื่อศิษย์ได้ยินเช่นนี้แล้วจึงพูดขึ้นว่า “ไข่สัตว์นั้นล้ำค่ามากรึ?”
“เรื่องนี้พูดยาก ขึ้นอยู่กับโชคของเจ้า หากเจ้าโชคดีสามารถได้ไข่สัตว์ที่ยอดเยี่ยมขึ้นมาได้” ผู้อาวุโสจ้องมองไปที่เมืองปี้โซ่วเฉิง และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “เล่าลือกันว่า ในครั้งนั้นราชันแท้จริงเต้าเจี่ยเคยอุ้มไข่สัตว์ออกมาจากเมืองปี้โซ่วเฉิงอยู่ใบหนึ่ง ฟักออกมาเป็นปี้อ้านตัวหนึ่ง จนกระทั่งบัดนี้ปี้อ้านตัวนั้นยังคงเป็นเทพผู้พิทักษ์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิฟู่หนิว แข็งแกร่งจนสุดจะเปรียบเปรย”
“ใช่เพียงเท่านี้” ระดับบรรพบุรุษที่อยู่ข้างๆ ได้กล่าวว่า “ราชันแท้จริงเต้าเจี่ยไม่เพียงอุ้มไข่สัตว์มาใบหนึ่งเท่านั้น ทั้งยังได้รับกระดูกเต๋าที่สุดยอดมากชิ้นหนึ่ง และด้วยเหตุนี้เองเขาจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นราชันแท้จริงเต้าเจี่ย”
ราชันแท้จริงเต้าเจี่ยเคยเป็นหนึ่งในราชันแท้จริงที่ยอดเยี่ยมที่สุดของแดนลัทธิพรรษ เขามีชาติกำเนิดมาจากลานกำแหง ได้รับคัมภีร์ ‘ฟู่หนิว’ มาเล่มหนึ่ง สุดท้ายกลายเป็นราชันแท้จริง
แม้จะกล่าวว่า ราชันแท้จริงเต้าเจี่ยไม่ได้ก่อตั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิ ขึ้นที่แดนลัทธิพรรษ แต่เขาได้ปลุกระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิฟู่หนิวที่กำลังใกล้จะล่มสลายให้ฟื้นขึ้นมา นับจากนั้นเป็นต้นมา เขาก็ได้กลายเป็นปฐมบรรพบุรุษยุคใหม่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิๆ นี้
กล่าวได้ว่าราชันแท้จริงเต้าเจี่ยเคยเป็นราชันแท้จริงที่แข็งแกร่งที่สุดของแดนลัทธิพรรษ แม้ว่าในครั้งนั้นเขาจะไม่ได้กลายเป็นปฐมบรรพบุรุษ
“เมืองปี้โซ่วเฉิงน่ะ ถ้าหากโชคดี ย่อมมีความน่าเชื่อถือมากกว่าการเสี่ยงโชคในตำหนักหมีเซียน” มีผู้ที่พึมพำขึ้นมา
หากเมื่อใดสามารถเข้าไปยังเมืองปี้โซ่วเฉิง และหากเจ้าโชคดีล่ะก็ อาจมีความเป็นไปได้ที่จะได้สิ่งที่คาดไม่ถึง น้ำจากน้ำพุสัตว์ กระดูกเต๋า โดยเฉพาะไข่สัตว์ นี่แหละคือที่ผู้คนจำนวนมากคาดหวังจะได้มา
เนื่องจากเมื่อใดที่โชคดี สามารพอุ้มไข่สัตว์ที่ฝืนลิขิตสวรรค์มาได้ฟองหนึ่ง ทุกอย่างก็จะไม่เหมือนเดิม ในอนาคตเจ้าอาจบ่มฟักสัตว์เทพขึ้นมาได้ตัวหนึ่ง มันก็คือฝืนลิขิตสวรรค์ยิ่งที่แท้จริงแล้ว
เฉกเช่นราชันแท้จริงเต้าเจี่ย ในครั้งนั้นก็ไปอุ้มเอาไข่สัตว์ที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่งจากเมืองปี้โซ่วเฉิงมาได้ฟองหนึ่ง สุดท้ายฟักออกมาเป็นปี้อ้านตัวหนึ่ง กลายเป็นเทพผู้พิทักษ์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิฟู่หนิว ซึ่งเป็นผู้ดำรงอยู่ในฐานะที่น่ากลัวอย่างยิ่ง
ด้วยเหตุนี้เอง ระดับบรรพบุรุษจำนวนไม่น้อยของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิ ผู้อาวุโสสำนักเจ้าลัทธิต่างๆ ล้วนแล้วแต่คิดจะได้อุ้มไข่สัตว์ที่สุดยอดออกมาจากเมืองปี้โซ่วเฉิงได้สักฟอง และหากสามารถฟักออกเป็นสัตว์เทพได้จริงๆ ล่ะก็ นั่นแหละคือการฝืนลิขิตสวรรค์ที่แท้จริงแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...