ครั้งนั้น อสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงหวังซื่อฮว๋าถือเป็นผู้มีบทบาทเป็นที่สั่นเทาของผู้คนในแดนลัทธิพรรษ ครั้งนั้นที่แดนลัทธิพรรษนี้เอง เขาเคยทำให้ราชันแท้จริงหนุ่มผู้หนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส กระทั่งบีบคั้นให้ราชันแท้จริงหนุ่มผู้นี้ต้องอับจนหนทาง
ช่างเป็นบทบาทที่โหดเหี้ยมใจดำอำมหิตเช่นใด มาวันนี้ได้กลายเป็นผู้คุ้มครองข้างกายมู่เส้าเฉิน เกรงว่าเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนจำนวนมากสุดที่จะจินตนาการได้
สิ่งนี้ก็ได้สร้างความหวั่นไหวภายในใจให้กับผู้คนเป็นจำนวนมาก เป็นการบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของตระกรูลมู่ ระดับอมตะที่เคยโด่งดังในแดนลัทธิพรรษครั้งนั้น กระทั่งเรียกได้ว่าปราศจากผู้ต่อกร เกรียงไกรไปทั่วหล้า แต่สุดท้ายแล้วกลับยังคงหันไปพึ่งพิงตระกูลมู่ขณะอยู่ในแดนลัทธิราชัน
ลองนึกภาพดู ตระกูลมู่ที่อยู่ในแดนลัทธิราชันนั้นมีความแข็งแกร่งเช่นใด และน่ากลัวขนาดไหน
แม้แต่อสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงยังต้องกลายเป็นขุนนางต่างแดนของตระกูลมู่ กลายเป็นผู้คุ้มครองของมู่เส้าเฉิน ซึ่งทำให้ทุกคนได้รับรู้ถึงความแข็งแกร่งของตระกูลมู่อย่างแท้จริง ธาตุแท้ภายในเช่นนี้เกรงว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจำนวนมากในแดนลัทธิพรรษไม่สามารถเทียบเทียมได้อยู่แล้ว
“จะเป็นงูคลั่งก็ดี หนอนคลั่งก็ช่าง” หลี่ชิเย่ที่ยืนอยู่ตรงนั้นเพียงยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “ผู้ขวางทางข้า ตาย!”
ทุกคนได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ กับคำพูดเช่นนี้ ถ้าวันไหนคนโหดอันดับหนึ่งไม่พูดคำพูดที่พาลและใช้อำนาจบาตรใหญ่ ทุกคนกลับจะไม่เคยชินเสียแล้ว เวลานี้คงมีแต่คนโหดอันดับหนึ่งเท่านั้นที่หาญกล้าเรียกอสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงเป็นหนอนคลั่งต่อหน้าผู้คนทั่วหล้าโดยตรง เป็นการจงใจทำให้อสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงต้องอับอาย
“ดี ดี ดี” หวังซื่อฮว๋าถึงกับหัวเราะขึ้นมา เนื่องจากเขาสวมหมวกใบใหญ่ปิดบังใบหน้าเอาไว้ จึงมองเห็นได้ไม่ชัดเจนถึงท่าทีของเขา แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วเหมือนเป็นการหัวเราะด้วยความโกรธจัด และกล่าวว่า “คนหนุ่มมีพลังที่น่าเคารพเลื่อมใส ครั้งนั้น ราชันแท้จริงของแดนลัทธิพรรษยังไม่กล้ากล่าววาจาสามหาวต่อหน้าของข้า…”
“เอาล่ะ ผู้กล้าจะไม่เอ่ยถึงความกล้าหาญในครั้งอดีต” หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ และกล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหยว่า “ความกล้าหาญในครั้งนั้น มาวันนี้มันก็แค่คนรับใช้คนหนึ่งเท่านั้นเอง มีฝีมืออะไรก็รีบๆ สำแดงออกมา จะได้จัดการเก็บเสียทั้งนายและบ่าวพอดี”
พลันที่หลี่ชิเย่พูดขาดคำ ทุกคนต่างรู้สึกได้ว่านาทีนี้หวังซื่อฮว๋าได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันทีแล้ว แรกทีเดียวจิตใจของหวังซื่อฮว๋ายังมีท่าทีที่สงบ แต่ นาทีนี้เขาไม่สามารถสงบได้แม้แต่นิดเดียวอีกต่อไปแล้ว
จะอย่างไรเสียเขาก็คือผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง ชั่วดีอย่างไรเขาก็เป็นผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะเคยทำให้ราชันแท้จริงบาดเจ็บสาหัสมาแล้ว ถึงกับถูกผู้เยาว์อย่างหลี่ชิเย่ลบหลู่ถึงเพียงนี้ เปรียบเสียจนไม่มีค่าแม้แต่นิดเดียว ต่อให้เขาเป็นผู้ที่มีบุคลิกภาพและความคิดสูงส่งมากกว่านี้ก็ตามที ก็ต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา ภาษิตว่าไว้ว่า แม้จะเป็นคนดีอย่างไรก็ตาม ก็ต้องมีเงื่อนไขต่ำสุดที่สามารถยอมรับได้ ยิ่งไปกว่านั้น อสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงเช่นเขาในครั้งนั้นก็นับเป็นผู้ดำรงอยู่ในฐานะปราศจากผู้ต่อกรคนหนึ่งเหมือนกัน
เสียงตูม…ดังสนั่นหวั่นไหว ในพริบตาเดียวนั่นเอง กลิ่นอายสายหนึ่งพลันพุ่งขึ้นมาอย่างรันแรง กลิ่นอายสายนี้มืดครึ้มและเยือกเย็นแต่แฝงไว้ซึ่งความแข็งกร้าวรุนแรง เหมือนหนึ่งเป็นพายุที่น่ากลัวแข็งแกร่งและทรงพลัง เพียงชั่วพริบตาเดียวก็บีบรัดเมฆบนท้องฟ้าจนแหลกละเอียด กวาดล้างท้องฟ้าจนราบเรียบนับหมื่นลี้ พริบตาเดียวนั่นเอง กลิ่นอายที่น่าเกรงขามสายหนึ่งได้พุ่งปะทะใบหน้าเข้ามา
ในเวลานี้เอง ทุกคนต่างรับรู้ได้ว่าใต้พื้นดินเสมือนดั่งมีสัตว์มีพิษขนาดยักษ์และดึกดำบรรพ์กำลังจะฟื้นขึ้นมาอย่างนั้น โดยที่สัตว์มีพิษขนาดยักษ์และดึกดำบรรพ์นี้เหมือนจะไม่คายเป็นน้ำพิษออกมา แต่มันจะกลืนกินวันเวลาของทุกๆ คน
เหมือนว่าพลันที่มันอ้าปากก็สามารถกลืนกินวันเวลาของสรรพสิ่งมีชีวิตนับล้านล้านชีวิต สามารถทำให้สรรพสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนกลายเป็นเถ้าธุลีไปในพริบตา เหมือนว่าวันเวลาก็คืออาหารที่แสนโอชะท่ามกลางปากที่กว้างใหญ่ของมัน
ทุกคนล้วนแล้วแต่สั่นเทิ้มทีหนึ่ง เมื่อรับรู้ถึงกลิ่นอายที่น่าเกรงขามเช่นนี้แล้ว มันเป็นกลิ่นอายที่น่าสยองขวัญเหลือเกิน เนื่อง่จากทุกคนล้วนแล้วแต่รู้สึกได้ว่า ที่อยู่ตรงหน้าตนเองหาใช่เป็นฟ้าดินบนโลกใบนี้ และไม่ใช่ช่องว่างของโลกใบนี้ แต่เป็นปากขนาดยักษ์สุดเปรียบเปรยปากหนึ่ง!
ตึง ตึง ตึงเสียงโลหะดังขึ้นเป็นระลอก หวังซื่อฮว๋าในเวลานี้ปรากฎแผ่นเกราะโลหะแต่ละแผ่นที่ประกบอยู่บนตัว ภายในระยะเวลาอันสั้น ปรากฏเสื้อเกราะตัวหนึ่งได้สวมใส่อยู่บนตัวของเขา
หลังจากที่หวังซื่อฮว๋าได้สวมใส่เสื้อเกราะตัวนี้แล้ว ตัวของเขาได้เปลี่ยนไป แม้ว่าหวังซื่อฮว๋ายังคงสวมหมวกใบใหญ่ปิดบังใบหน้าเอาไว้ แต่ว่า พริบตาเดียวที่เสื้อเกราะตัวนั้นได้สวมใส่บนร่าง เหมือนว่าเขาได้เปลี่ยนเป็นคนละคนไปแล้วอย่างนั้น
ในขณะนี้ หวังซื่อฮว๋าไม่ใช่ผู้เฒ่าอีกต่อไปแล้ว ยามที่เขาสวมเสื้อเกราะและยืนอยู่ที่ตรงนั้น เสมือนหนึ่งเป็นขุนพลสวรรค์คนหนึ่ง ทุกการเคลื่อนไหวของเขาสามารถสามารถเบิกฟ้าสร้างโลก ทำลายสุริยันจันทราและดวงดาว กลิ่นอายที่รุนแรงร้ายกาจและเหี้ยมโหดแบบนั้นทำให้ผู้คนต้องตัวสั่นดั่งลูกนก
หวังซื่อฮว๋าในเวลานี้ มีเสื้อเกราะที่มีประกายแวบวับบนตัว แต่ว่าประกายลักษณะเช่นนี้แตกต่างจากประกายแวบวับของโลหะ ประกายนั้นแลดูเหมือนเป็นมายาอยู่บ้าง เหมือนเป็นเวลาที่กำลังเคลื่อนที่ และเหมือนเป็นประกายที่ไม่มีอยู่จริง ทำให้ภาพรวมตัวของหวังซื่อฮว๋าเหมือนกลายเป็นความว่างเปล่าอย่างนั้น
ด้วยเหตุนี้เอง ทั้งๆ ที่หวังซื่อฮว๋ายืนอยู่ตรงนั้น กลับให้ความรู้สึกเป็นภาพลวงตา เหมือนว่าเขายืนอยู่ทุกๆ ที่ ท่ามกลางช่องว่างนี้มีตัวเขายืนอยู่ทุกหนทุกแห่ง
‘ชุดเกราะฟ้ากรรแสง!’ ระดับบรรพบุรุษผู้จดจำประวัติความเป็นมาของหวังซื่อฮว๋าได้นั้น ได้พึมพำออกมาว่า “เล่าลือกันว่า ในครั้งนั้นเขาสวมใส่ชุดเกราะชุดนี้แหละที่เอาชนะราชันแท้จริงจ้านผาวได้”
ผู้คนจำนวนไม่น้อยถึงกับแอบสั่นเทิ้มทีหนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดของระดับบรรพบุรุษผู้นี้ ต่อให้มีผู้ที่ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของหวังซื่อฮว๋ามาก่อน ไม่เคยได้ยินชื่ออสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงมาก่อน แต่ว่าชื่อของราชันแท้จริงจ้านผาวกลับมีผู้คนรู้จักเป็นจำนวนมาก ราชันแท้จริงจ้านผาวคือหนึ่งในราชันแท้จริงของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซิ่นอี ได้เป็นราชันแท้จริงตั้งแต่อายุยังเยาว์ พรสวรรค์นั้นเป็นที่น่าทึ่งของผู้คน
ลองคิดดู ด้วยความเป็นอัจฉริยะบุคคลเช่นนี้ เป็นราชันแท้จริงตั้งแต่อายุยังเยาว์ ยังต้องถูกอสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ย่อมสามารถจินตนาการได้ว่าอสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงในครั้งนั้นมีความน่ากลัวเพียงใดแล้ว
เวลานี้อสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงลอยตัวอยู่กลางอากาศ ขณะที่เขายืนอยู่บนความว่างเปล่านั้น มีทีท่าอยู่เหนือทั่วหล้า ควบคุมทั่วแดน แม้ว่าตำแหน่งที่เขายืนจะไม่สูงมากนัก แต่กลับให้ความรู้สึกที่อยู่สูงเด่นกับผู้คน ทำให้ผู้คนไม่อาจไม่แหงนหน้ามอง
“ขึ้นมาสู้กันสักครั้ง” เวลานี้อสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงที่ยืนอยู่บนท้องฟ้าเอ่ยขึ้นช้าๆ คำพูดของเขาขณะนี้นับว่าตรงและแข็งกร้าว และนับได้ว่ามีความพาลและถืออำนาจบาตรใหญ่เพียงพอ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...