จากการที่วันที่ทะเลสาบทั้งเก้าเปลี่ยนสีใกล้เข้ามาทุกทีๆ และมีศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่เข้าพักในเขาจิ่วเหลียนซานมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่ามีศิษย์จำนวนไม่น้อยมาเพื่อบรรลุสัจธรรมที่เขาจิ่วเหลียนซาน แต่ศิษย์ส่วนใหญ่แล้วมุ่งมาที่การเปลี่ยนสีของทะเลสาบทั้งเก้ามากกว่า
ศิษย์ที่มาพักอาศัยและบรรลุสัจธรรมที่เขาจิ่วเหลียนซานนั้นมาจากสถานที่ต่างๆ ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ มีทั้งศิษย์จากสำนักเจ้าลัทธิ และศิษย์จากสำนักขนาดเล็ก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีผู้บำเพ็ญตนไร้สังกัด
นี่แหละคือข้อแตกต่างของเขาจิ่วเหลียนซาน ขอเพียงบุคคลผู้นั้นเป็นศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ไม่ว่าจะมีชาติกำเนิดจากสำนักเจ้าลัทธิ ตระกูลขุนนางโบราณ หรือว่าสำนักขนาดเล็ก กระทั่งผู้บำเพ็ญตนไร้สังกัด ก็จะได้รับการต้อนรับที่ไม่แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย
แม้ว่าเจ้าเป็นผู้บำเพ็ญตนตัวน้อยๆ ที่มาจากการฝึกบำเพ็ญตนด้วยตัวเองและไร้สังกัด มีทักษะอ่อนจนสามารถมองข้ามไปได้ แต่ว่าขอเพียงเคล็ดพลังภายในที่ฝึกมีกำเนิดมาจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ก็สามารถมาบรรลุสัจธรรมที่เขาจิ่วเหลียนซานได้
เขาจิ่วเหลียนซานจะไม่ปฏิเสธในการเข้าสำนักเพียงเพราะเป็นผู้บำเพ็ญตนไร้สังกัด และจะไม่เป็นเพราะมีชาติกำเนิดมาจากสำนักเจ้าลัทธิแล้วได้รับการปฏิบัติดูแลที่ดีกว่า
ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตาม เขาจิ่วเหลียนซานจะให้การปฏิบัติที่เหมือนๆ กันหมด ต่อให้ฮ่องแต้ไท่ชิงในวันนั้นเสด็จมาด้วยตนเอง ทางเขาจิ่วเหลียนซานก็ไม่ได้มีการจัดและให้การต้อนรับอะไรเป็นพิเศษ
ด้วยเหตุที่เขาจิ่วเหลียนซานได้ให้การปฏิบัติที่เท่าเทียมกันตลอดมา จึงเป็นการวางรากฐานฐานะความเป็นกลางของเขาจิ่วเหลียนซานในทัศนะคติของทุกๆ คนเอาไว้ได้อย่างมั่นคง และเป็นการวางรากฐานฐานะความเป็นเอกเทศที่ตัดขาดจากโลกภายนอกของเขาจิ่วเหลียนซานได้อย่างมั่นคง
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ที่มีชาติกำเนิดเช่นใดก็ตาม เขาจิ่วเหลียนซานก็จะจัดสถานที่ที่เข้าพักให้ และจะไม่ส่งศิษย์คนใด หรือใครอื่นใดไปรับใช้
เวลาที่ทะเลสาบทั้งเก้าเปลี่ยนสีใกล้เข้ามาทุกทีๆ ผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มาถึงเขาจิ่วเหลียนซานก็จะมีฐานะที่สูงส่งมากขึ้นเรื่อยๆ แรกทีเดียว ศิษย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ที่มายังเขาจิ่วเหลียนซานยังมีอยู่เป็นจำนวนมากที่มาจากสำนักขนาดเล็ก มาระยะหลัง โดยพื้นฐานแล้วส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์ที่มาจากสำนักเจ้าลัทธิหรือตระกูลขุนนางโบราณ ต่อจากนั้นแม้แต่ศิษย์จากห้าแกร่งเช่นหอหลินไห่เก๋อก็ได้ปรากฎตัวขึ้นที่เขาจิ่วเหลียนซานแล้ว
มองดูยอดฝีมือที่เป็นอัจฉริยะบุคคลปรากฏตัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ที่เขาจิ่วเหลียนซาน ทำให้ศิษย์กลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยที่คาดหวังจะได้พบกับปาฏิหาริย์ที่เขาจิ่วเหลียนซานรับรู้ถึงความกดดันที่ไม่น้อยเลยทีเดียว จะอย่างไรเสียยอดฝีมืออัจฉริยะบุคคลยิ่งมีจำนวนมากเท่าไร เมื่อถึงเวลานั้นการแข็งขันก็จะยิ่งมาก เมื่อไรที่ศิษย์ของหอหลินไห่เก๋อที่เป็นพวกเหล่าห้าแกร่งลงมือล่ะก็ อย่าว่าแต่สำนักขนาดเล็กเลย แม้แต่สำนักเจ้าลัทธิหรือตระกูลขุนนางโบราณอื่นๆ ก็ไม่สามารถต่อกรได้
ตูม ตูม ตูม…มาวันนี้ ปรากฏเสียงตูมตามดังขึ้นเป็นระลอก แผ่นดินและหุบเขาล้วนแล้วแต่สั่นไหวโคลงแคลงขึ้นทีหนึ่ง
ผู้คนจำนวนไม่น้อยแอบตระหนกอยู่ในใจเมื่อได้ยินเสียงดังตูมตามที่ดังขึ้นมากะทันหัน เป็นใครกันนะที่อวดดีถึงเพียงนี้ มาถึงเขาจิ่วเหลียนซานแล้วยังคงทำตัวสูงเด่นเช่นนี้
ในเวลานี้ผู้คนจำนวนไม่น้อยทยอยกันหันหัวกลับไป และมองไปทางทิศทางที่เป็นต้นเสียง
เวลานี้ มองเห็นกองทัพๆ หนึ่งที่เหินฟ้าเข้ามา โดยกองทัพดังกล่าวมีไพร่พลจำนวนไม่มาก มีเพียงสิบกว่าคนเท่านั้นเอง พวกเขาขี่ม้าศึกเหินฟ้าวิ่งฮ้อเข้ามา ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นกองทัพน้ำหลากที่เป็นเหมือนเหล็กกล้า เหมือนว่าพวกเขาก็คือกองทัพน้ำหลากที่เป็นเหมือนเหล็กกล้าที่ส่งเสียงคำรามพุ่งเข้ามาโจมตี ปราศจากสิ่งใดสามารถต้านทานเอาไว้ได้ เพียงชั่วพริบตาเดียวก็สามารถทำลายสิ่งที่ขวางกั้นอยู่ข้างหน้าจนพินาศย่อยยับลงได้
แม้ว่ากองทัพอาชานี้จะมีเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น แต่จากการที่พวกเขาบุกเข้ายังเขาจิ่วเหลียนซานดั่งกองทัพน้ำหลากที่เป็นเหมือนเหล็กกล้านั้น พลันทำให้บังเกิดความรู้สึกว่ามีกองทัพหมื่นพันที่ยกเข้ามาประชิดอย่างนั้น แม้แต่อากาศธาตุยังคงสั่นสะเทือนทีหนึ่ง
นักรบของกองทัพๆ นี้ล้วนแล้วแต่มาบนหลังม้าศึกทั้งสิ้น นักรบทุกคนกับม้าศึกที่พวกเขาขี่มาล้วนแล้วแต่เสมือนเป็นร่างเดียวกัน นักรบทั้งหมดมาในชุดเกราะเต็มตัว ขณะที่ม้าศึกก็สวมชุดเกราะเช่นกัน เนื่องเพราะนักรบทุกคนและม้าศึกทุกตัวต่างถูกห่อหุ้มด้วยชุดเกราะอย่างแน่นหนา ยิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขาก็คือน้ำหลากที่เป็นเหมือนเหล็กกล้านั่นเอง สามารถพุ่งชนทำบายภูเขาแต่ละลูกจนแหลกละเอียดเมื่อมีการพุ่งโจมตีเข้ามา
ผู้ที่เป็นผู้นำของทัพอาชาทัพนี้เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ชายหนุ่มผู้นี้มีคิ้วดั่งกระบี่นัยน์ตาดั่งดวงดารา รูปร่างสูงตระหง่าน แววตาคมกริบยิ่งนัก ปรากฏกลิ่นอายการฆ่าที่รุนแรงแผ่ออกมาจากร่างของเขา พลันที่มองเห็นก็รู้ว่าเขาคือแม่ทัพที่ผ่านสมรภูมิรบมายาวนาน
‘ทัพตระกูลหม่า’ มีผู้ที่จดจำประวัติความเป็นมาของกองทัพอาชานี้ได้ทันที ถึงกับร้องเสียงดังขึ้นมาด้วยความตระหนกเมื่อมองเห็นทัพอาชานี้วิ่งฮ้อเข้ามา
“เขาคือหม่าจินหมิง นายน้อยตระกูลหม่ามาแล้ว” มีผู้แอบตระหนกอยู่ในใจ เมื่อได้เห็นชายหนุ่มที่เป็นผู้นำของกองทัพอาชาทัพนี้
“แม่ทัพน้อยของกองทัพส่วนกลางนะเนี่ย” ผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกสะท้านในใจขณะมองดูชายหนุ่มผู้นี้ ในเวลานี้ผู้คนจำนวนไม่น้อยทยอยกันหลีกทางให้กองทัพอาชานี้วิ่งฮ้อผ่านไป
“หม่าจินหมิงจะมาแก้แค้นให้กับลูกพี่ลูกน้องอย่างนั้นรึ? ” ผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกสะท้านภายในใจ และคาดเดากันลับๆ เมื่อมองเห็นกองทัพที่คล้ายดั่งน้ำหลากเหล็กกล้าที่ส่งเสียงคำรามขึ้นมา
หม่าจินหมิง นายน้อยตระกูลหม่า แม่ทัพน้อยแห่งกองทัพส่วนกลาง เขาก็คือบุตรชายของแม่ทัพส่วนกลางหม่าหมิงชุน และเป็นลูกพี่ลูกน้องผู้พี่ของเจิงยี่ปิง
หม่าจินหมิงไม่รู้ว่าแข็งแกร่งกว่ากันเท่าไรเมื่อเทียบกับเจิงยี่ปิงที่เอาแต่เป็นสุนัขจิ้งจอกที่แอบอ้างบารมีเสือ หม่าจินหมิงติดตามออกศึกกับหม่าหมิงชุนผู้เป็นบิดามาตั้งแต่อายุน้อย เสี่ยงเป็นเสี่ยงตามบนสมรภูมิรบ อีกทั้งเขาได้สำแดงถึงพรสวรรค์การฝึกปรือที่แข็งแกร่งมาตั้งแต่เด็ก
เมื่อเปรียบเทียบกับเจิงยี่ปิงแล้ว หม่าจินหมิงคืออัจฉริยะบุคคลที่จริงแท้แน่นอน และเป็นยอดฝีมือที่จริงแท้แน่นอนคนหนึ่งเช่นกัน ซึ่งหาใช่เจิงยี่ปิงสามารถเทียบเคียงได้อยู่แล้ว
ทุกคนล้วนแล้วแต่เข้าใจว่าหม่าจินหมิงมาเพื่อชำระแค้นให้กับเจิงยี่ปิงที่ตายไป เมื่อเห็นหม่าจินหมิงนำพากองทัพตระกูลหม่าที่บุกเข้าไปในเขาจิ่วเหลียนซานด้วยพลังที่แข็งแกร่ง
แต่ทว่า หม่าจินหมิงไม่ได้นำพาทหารบุกขึ้นเขาหงฮวงซานโดยตรง และไม่ได้แสดงออกถึงปณิธานที่ต้องการหาหลี่ชิเย่เพื่อแก้แค้น หลังจากที่เขาได้นำพานักรบสิบกว่าคนบุกเข้าไปในเขาจิ่วเหลียนซานแล้วก็ได้เข้าพักในยอดเขาแห่งหนึ่ง
เพียงแต่ขณะที่หม่าจินหมิงก้าวลงจากหลังม้าได้มองไปยังทิศทางที่ตั้งของเขาหงฮวงซานทีหนึ่ง สุดท้ายได้ส่งเสียงฮึน่าเกรงขามขึ้นมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...