“เป็นอะไรไป?” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นช้าๆ มองดูปิงฉือหานยวี่ที่คุกเข่ามานานอยู่ตรงนั้น
ปิงฉือหานยวี่คุกเข่าอยู่กับพื้น และกล่าวว่า “เหล่าบรรพบุรุษของตระกูลไร้ความรู้และโง่เขลา เป็นศัตรูกับฝ่าบาท ก่อความผิดมหันต์ โดยที่บ่าวไม่สามารถทำอะไรได้ จึงขอรับโทษจากฝ่าบาท ขอฝ่าบาทลงทันฑ์”
“เจ้าเองก็ไม่ได้มีความผิดอะไร” หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ และกล่าวท่าทีเรียบเฉย
ปิงฉือหานยวี่คุกเข่าไม่ยอมลุกขึ้น ก้มหน้าและกล่าวว่า “แม้สามารถอภัยให้กับบ่าวได้ แต่บรรดาเหล่าบรรพบุรุษของตระกูลมีความผิดมหันต์ ความผิดนี้สามารถล้างตระกูลได้ บ่าวยินดีรับโทษแทน”
“พูดแบบนี้ เจ้าต้องการจะขอความเมตตาแทนตระกูลของเจ้าน่ะสิ” หลี่ชิเย่มองหน้าปิงฉือหานยวี่แวบหนึ่ง ยิ้มกล่าวท่าทีเรียบเฉย
“บ่าวเพียงหวังจะรับโทษแทนตระกูล เพื่อลบล้างความผิดของตระกูลให้เบาลง” ปิงฉือหานยวี่ก้มหน้าและเอ่ยขึ้นช้าๆ
“เอาเถอะ” หลี่ชิเย่มองดูปิงฉือหานยวี่แวบหนึ่ง กล่าวท่าที่เฉยเมยว่า “เห็นแก่เจ้า ไม่ล้างตระกูลปิงฉือพวกเจ้าก็แล้วกัน แต่ที่สมควรลงโทษยังต้องลงโทษ ที่ควรตัดยังคงต้องตัด”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท…” ปิงฉือหานยวี่อดรู้สึกดีใจไม่ได้เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ ก้มกราบกับพื้น นางเองก็ไม่นึกว่าหลี่ชิเย่จะยอมให้อภัยตระกูลปิงฉือของพวกเขา ขณะคุกเข่าอยู่ที่ตรงนี้ นางได้เตรียมใจกับกรณีที่เลวร้ายที่สุดแล้ว นางกระทั่งนึกไปถึงว่าตระกูลของตนจะต้องถูกทำลายล้าง แม้แต่ตนเองก็ต้องถูกลงโทษ ไม่นึกเลยว่า ท้ายที่สุดแล้วหลี่ชิเย่ยังคงให้อภัยพวกเขา
“บุญคุณของฝ่าบาท บ่าวยินดีเป็นวัวเป็นควายเพื่อตอบแทน” ปิงฉือหานยวี่ คุกเข่าอยู่กับพื้นเป็นเวลานาน ซาบซึ้งจนหลั่งน้ำตาออกมา
“อืมม ไม่เลว” หลี่ชิเย่พยักหน้าเบาๆ และสั่งการไปว่า “ลุกขึ้น ปรนนิบัติให้ดีก็แล้วกัน”
ปิงฉือหานยวี่รีบลุกขึ้นมา และไปยุ่งอยู่กับการเตรียมการสำหรับการล้างหน้าบ้วนปากของหลี่ชิเย่ ในขณะนี้นางปฏิบัติตัวอยู่ในฐานะของบ่าวไพร่คนหนึ่ง
จังหวะที่หลี่ชิเย่ล้างหน้าบ้วนปากเสร็จสิ้น ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานก็ได้มาเข้าเฝ้าแต่เช้า
“เจ้ามาได้ทันเวลาเลยนี่” หลี่ชิเย่จ้องมองชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานทีหนึ่ง หัวเราะและเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “หลายวันที่ผ่านมาไม่เห็นแม้แต่เงาของเจ้า เวลานี้กลับโผล่ออกมาแล้ว”
เหอะ เหอะ เหอะชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานหัวเราะเจื่อนๆ ดูดยาสูบจากกล้องยาสูบคำหนึ่ง หัวเราะเจื่อนๆ และพูดว่า “อานุภาพฝ่าบาทปราศจากผู้ต่อกร ปราบปรามเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน ข้าน้อยทักษะยุทธอ่อนด้อย ได้แต่ตัวสั่นงันงกหลบอยู่ใต้โต๊ะ ไหนเลยจะมีหน้าออกมาพบกับฝ่าบาท ยิ่งไม่สามารถรองรับได้กับอานุภาพที่ไร้เทียมทานของฝ่าบาทได้”
“เอาล่ะ ประจบสอพลอกันพอแล้ว” หลี่ชิเย่โบกมือโดยไม่ได้ใส่ใจ กล่าวเรียบเฉยว่า “มีเรื่องอะไรก็พูดออกมาได้เลย”
ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานถูมือไปมา หัวเราะแห้งๆ ทีหนึ่ง และกล่าวว่า “ฝ่าบาทยิ่งใหญ่เป็นหนึ่งไม่มีสอง เป็นผู้ที่มีชีวิตรอดออกมาจากคุกหลวงดึกดำบรรพ์เป็นคนแรกนับแต่อดีตเป็นต้นมา ข้าน้อยความรู้น้อยนิด ดังนั้นจึงอยากจะฟังประสบการณ์ที่มหัศจรรย์ของฝ่าบาทในคุกหลวงดึกดำบรรพ์สักหน่อย”
“เจ้าอย่าทำเป็นพูดวกวน พูดออกมาตรงๆ ก็ได้” หลี่ชิเย่เหลือบมองเขาทีหนึ่ง กล่าวเรียบเฉยว่า “อ้อมหัวข้อสนทนาไปครึ่งค่อนวัน เจ้าก็แค่ต้องการรู้เรื่องสิ่งที่เรียกว่าความเป็นอมตะ”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา ฝ่าบาททรงพระปรีชา” ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานอดหัวเราะแห้งๆ ทีหนึ่งไม่ได้ และกล่าวว่า “ข้าน้อยความรู้น้อยนิด ดังนั้น จึงอยากจะเพิ่มพูนประสบการณ์ ขอฝ่าบาทได้ชี้แนะแนวทางที่ถูกต้อง ข้าน้อยยินดีรับฟังการสอนสั่งจากฝ่าบาท”
“ทำเป็นสุภาพมีมารยาทกับข้าให้น้อยๆ หน่อย” หลี่ชิเย่หัวเราะ ส่ายหน้าและกล่าวว่า “เอาเถอะ เห็นแก่ตาเฒ่าอย่างเจ้าที่รู้จักกาลเทศะ ข้าก็จะดีกับเจ้าเป็นพิเศษ เกี่ยวกับความเป็นอมตะของคุกหลวงดึกดำบรรพ์นั้น เกรงว่าคงครุ่นคิดพินิจพิเคราะห์มาชั่วชีวิตแล้วล่ะ เช่นเดียวกับฮ่องเต้ไท่ชิง ล้วนแล้วแต่ไม่ละความพยายาม”
“มดปลวกอยากมีชีวิต ให้ฝ่าบาทต้องเยาะเย้ยแล้ว” ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานหัวเราะเจื่อนๆ
ก่อนหน้านี้ เขาจะดูดกลืนพลังชั่วร้าย โดยหันหน้าเข้าหาคุกหลวงดึกดำบรรพ์ ฝึกปรือสัจธรรม สิ่งที่เขาสืบเสาะค้นหา ทำความบรรลุก็คือความเป็นอมตะ เขาเองก็คิดจะได้เห็นความลึกซึ้งยอดเยี่ยมบางอย่างจากคุกหลวงดึกดำบรรพ์
แน่นอน ในฐานะที่ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานดำรงอยู่ในสถานะที่เป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง เขาคิดอยากจะมีชีวิตที่อมตะก็หาใช่เป็นเรื่องน่าอาย นับแต่อดีตเป็นต้นมาใครบ้างไม่อยากมีชีวิตเป็นอมตะ ตั้งแต่ราชันแท้จริงถึงปฐมบรรพบุรุษ มีใครบ้างที่ไม่อยากมีชีวิตเป็นอมตะ? ใครบ้างที่ไม่เคยคิดอยากจะได้ชีวิตเป็นอมตะ? ต่อให้ปฐมบรรพบุรุษที่ปราศจากผู้ต่อกรมากกว่านี้ ปราดเปรื่องน่าทึ่งมากกว่านี้ ล้วนแล้วแต่เคยคิดอยากจะมีชีวิตเป็นอมตะมาก่อน
“ข้าจะเมตตาเป็นกรณีพิเศษ ให้เจ้าได้เห็น” หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบเฉย กล่าวพลางหยิบเอาดินสีดำออกมาให้ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานดู
“นี่คือ…” ครั้นชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานมองเห็นดินสีดำนี้แล้วอดที่จะตกใจยิ่งไม่ได้ จากนั้นใช้สองมือกอบเอาไว้ และพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด
“นี่แหละคือความเป็นอมตะที่เจ้าต้องการ” หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบเฉย
ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานสองมือกอบดินสีดำเอาไว้ด้วยความเคารพยิ่ง ระมัดระวังอย่างยิ่ง ในขณะนี้ดินสีดำที่กอบอยู่ในมือของเขาก็คือสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในโลก เป็นสิ่งที่สุดยอดมีเพียงหนึ่งไม่มีสองในหล้า
“จิตเทพนี้…” หลังจากที่ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานได้พินิจพิเคระห์อย่างละเอียดแล้ว อดตื่นตระหนกยิ่งไม่ได้ และพึมพำขึ้นมาว่า “จิตเทพเช่นนี้ มีอยู่ในโลกหรือไม่?”
“เจ้าคิดว่าล่ะ?” หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบเฉย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...