ตอนที่ 2604 หินผีดิบสีดำ
ในเวลานี้เอง หลี่ชิเย่ได้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่อย่างช้าๆ ท่าทีหนักแน่นจริงจัง ไม่พูดไม่จาเป็นเวลานาน
“นี่มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ที่นี่คือแดนสามเซียน มันไม่มีเหตุผล” หลังจากที่หลี่ชิเย่นิ่งเงียบอยู่นาน ถึงกับพึมพำขึ้นมา
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ เขาถึงกับแหงนหน้ามองดูท้องฟ้า และพูดขึ้นมาว่า “สวรรค์โจร นี่เป็นเรื่องที่เจ้าทำเอาไว้รึ? ใช่หรือไม่…”
ครั้นหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วก็ได้ส่ายหน้า เป็นการปฏิเสธแนวความคิดของตน และกล่าวว่า “ถ้าหากเป็นสวรรค์โจร ไม่จำเป็นต้องรอจนถึงวันนี้ และไม่จำเป็นต้องทำลายล้างโลกแล้ว ถ้าหากต้องทำเช่นนี้ล่ะก็ จำเป็นต้องยุ่งยากแบบนี้รึ?”
เมื่อหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้อดที่จะนิ่งเงียบขึ้นมาไม่ได้ ดวงตาทั้งสองดูลึกล้ำยิ่งนัก มองดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงดาวซึ่งห่างไกลออกไป เสมือนดั่งมองทะลุอดีตอย่างนั้น แววตากลับกลายเป็นน่ากลัวยิ่งนัก
ในเวลานี้ ภายในใจของหลี่ชิเย่มีแนวคิดสารพัด มีความน่าจะเป็นสารพัด ทุกๆ ความน่าจะเป็นล้วนแล้วแต่น่ากลัวอย่างยิ่ง ถ้าหากผู้คนบนโลกนี้รับรู้ถึงความน่าจะเป็นต่างๆ นานาเหล่านี้แล้ว เกรงว่าคงถูกทำให้ตกใจจนตายไปนานแล้ว
หลังจากที่หลี่ชิเย่ได้มีการคิดคำนวณความน่าจะเป็นต่างๆ แล้ว ภายในใจของหลี่ชิเย่ได้เลือกเอาสภาพบางอย่างที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดออกมา เขาถึงกับนั่งนิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน
“ไม่สนว่ามันจะเป็นสาเหตุอะไร ไม่สนว่าจะเป็นความน่าจะเป็นแบบไหน เมื่อไหร่ที่มันเป็นจริงขึ้นมา มันก็จะทำให้ไม่ได้ผุดได้เกิดอีกเลย แดนสามเซียนก็ดี เก้าแดน สิบสามทวีปก็ไม่มีใครรอดไปได้ สิ่งนี้จะต้องตกไปอยู่ในความยึดครองอย่างสิ้นเชิง ความชั่วจะดำรงอยู่เป็นนิรันดร์” เมื่อหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว อดทอดถอนใจเบาๆ ออกมาทีหนึ่งไม่ได้ ท่าทางหนักแน่นจริงจังยิ่งนัก
หวูโหย่วเจิ้งไม่รู้ว่าได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ว่า ดูจากท่าทางลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่แล้ว เขาก็เข้าใจได้ว่ามีเรื่องใหญ่มากเกิดขึ้นมาแล้ว เรื่องนี้ใหญ่มากๆ กระทั่งกล่าวได้ว่าฟ้าจะถล่มลงมาแล้ว
ลองนึกภาพดู การที่หลี่ชิเย่สังหารสิ้นสิบวัชระ ทำลายกองเรือรบจนสิ้น ร้องท้าทายตระกูลมู่ ล้วนแล้วแต่มีท่าทีที่เอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ล้วนแล้วแต่ตามอารมณ์สบายๆ อะไรอย่างนั้น ไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย สามารถดูออกได้ว่ากระทั่งตระกูลมู่ที่ดำรงอยู่ในฐานะที่แข็งแกร่งเพียงนี้ เขาก็ดูตามอารมณ์ยิ่ง ในสายตาของเขามองเหมือนเป็นมดปลวกอย่างนั้น
แต่ว่า นาทีนี้เขามีท่าทีที่หนักแน่นจริงจังอย่างยิ่ง เป็นครั้งแรกที่หวูโหย่วเจิ้งมองเห็นสีหน้าของหลี่ชิเย่ปรากฎท่าทางลักษณะเช่นนี้ ซึ่งส่งผลให้ภายในใจของหวูโหย่วเจิ้งมีลางสังหรณ์ที่ไม่เป็นมงคล ทำให้ภายในใจของเขาดูจะไม่เป็นสุขยิ่งนัก
ไม่ง่ายนักกว่าหวูโหย่วเจิ้งจะฟื้นคืนพลังและลุกขึ้นมาได้ เขายืนอยู่ด้านหน้าหลี่ชิเย่ และเอ่ยถามเสียงแผ่วเบาขึ้นมาว่า “คุณชาย เป็นอะไรไปรึ? เกิด เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว?”
หวูโหย่วเจิ้งเองก็รู้ดีว่า แม้แต่หลี่ชิเย่ยังมีท่าทีที่หนักแน่นเช่นนี้ ย่อมเป็นการบ่งบอกว่าเรื่องนี่ใหญ่มาก ด้วยกำลังที่มีเพียงน้อยนิดของเขาก็ช่วยอะไรไม่ได้ เขาทำได้แค่ถามด้วยความห่วงใยเท่านั้น
“ถ้าหากโลกจะต้องพังพินาศย่อยยับ เจ้าคิดจะทำอะไร?” หลังจากเวลาผ่านไปนานมาก หลี่ชิเย่ได้ละสายตากลับมา มองดูหวูโหย่วเจิ้งและเอ่ยเรียบเฉยขึ้นมา
“ถ้าหากโลกจะต้องพังพินาศย่อยยับ?” หวูโหย่วเจิ้งตะลึงนิดหนึ่ง สมองตอบสนองไม่ค่อยจะทัน จากนั้นได้กล่าวว่า “ต้องพังพินาศย่อยยับจริงๆ ใช่ไหม?”
หลี่ชิเย่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงจ้องมองตัวเขาเท่านั้น
เมื่อหวูโหย่วเจิ้งได้สติกลับมา เกาหัวทีหนึ่งไม่ได้คิดอะไรมากนัก และกล่าวว่า “ถ้าหากโลกจะต้องพังพินาศย่อยยับจริงๆ ข้า ข้าก็ได้แต่อยู่ร่วมกับคนในครอบครัว ศิษย์ภายในสำนัก ดื่มกินอย่างดีให้อิ่มหนำสำราญสักมื้อ อย่างน้อยที่สุดทุกคนก็จะได้ไม่กลายเป็นผีอดอยาก สามารถร่วมกินด้วยกันสักมื้อก่อนตาย มันก็เป็นการเสพสุขที่หรูหราอย่างหนึ่งแล้ว”
ครั้นหวูโหย่วเจิ้งเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วได้หัวเราะแห้งๆ ทีหนึ่ง ถูมือไปมาเหมือนรู้สึกเขินๆ และกล่าวว่า “เป็นเพียงความรู้สึกของข้า ข้าที่เป็นบุคคลตัวน้อยๆ ไม่มีความสำคัญเท่านั้น ไม่ ไม่ได้มีความมุ่งมาดปรารถนายิ่งใหญ่อะไร เป็นที่เยาะเย้ยของคุณชายแล้ว”
“นี่เป็นความรู้สึกที่ดีมาก” หลี่ชิเย่มองดูหวูโหย่วเจิ้งและกล่าวเรียบเฉยว่า “อย่างน้อยที่สุดเจ้ายังสามารถหาคนร่วมทานอาหารสักมื้อหนึ่ง ยังสามารถร่ำลากับคนข้างกาย นับเป็นความโชคดีอย่างหนึ่ง”
“ถ้า ถ้าเช่นนั้นคุณชายเล่า?” หวูโหย่วเจิ้งมองเห็นท่าทีเช่นนี้ของหลี่ชิเย่แล้ว เขาอดที่จะเอ่ยถามเบาๆ ไม่ได้
หลี่ชิเย่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง มองไปที่ที่ไกลออกไป มองดูสถานที่ที่ห่างไกล ท่าทางนิ่งเงียบ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงค่อยๆ เอ่ยขึ้นมาว่า “สู้…”
“สู้…” หวูโหย่วเจิ้งถึงกับตะลึงงัน ในเวลานี้ไม่สามารถตระหนักถึงความหมายของคำๆ นี้
“มีเพียงสู้เท่านั้น มีเพียงสู้ให้ถึงที่สุด” หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทีเฉยเมย แม้ว่าคำพูดของเขาจะดูเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พูดโดยหลีกเลี่ยงประเด็นสำคัญ แต่ว่ากลับมีความมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง เป็นสิ่งที่ไม่สามารถสั่นคลอนอะไรอย่างนั้น
“สู้จนถึงที่สุด!” หวูโหย่วเจิ้งทำความเข้าใจอย่างทุกๆ คำพูดของหลี่ชิเย่อย่างละเอียด จากคำพูดคำนี้เขาสามารถตระหนักถึงเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ไม่มีสั่นคลอนของหลี่ชิเย่
“คุณชายต้องการช่วยโลก เป็นเอกบุรุษ พวกเราทั้งหลายได้แต่เคารพนับถือ” หลังจากได้สติกลับมาแล้ว หวูโหย่วเจิ้งถึงกับโค้งคำนับอย่างลึกซึ้ง และคารวะต่อหลี่ชิเย่
หลี่ชิเย่มองดูหวูโหย่วเจิ้งทีหนึ่ง กล่าวท่าทีเรียบเฉยว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าไม่เคยคิดจะช่วยโลกเลย ข้าไม่ใช่พระเจ้าช่วยโลกอะไร”
“เรื่องนี้…” หวูโหย่วเจิ้งถึงกับตะลึงงันนิดหนึ่ง ยิ้มเจื่อนๆ และกล่าวว่า “ถ้า ถ้า ถ้า ถ้าเช่นนั้นเพราะอะไรคุณชายถึงต้องสู้จนถึงที่สุดเล่า?”
“แม้ว่าจะต้องไม่ได้ผุดได้เกิดเลยก็ต้องเผยเขึ้ยวเล็บออกมา!” หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเรียบเฉยว่า “ไม่ว่าจะเป็นผู้ดำรงอยู่ในสถานะอย่างไรก็ตาม ข้าก็ต้องกำจัดเขาให้ได้ เล่นงานมันจนตาย! มีแค่นี้เท่านั้นเอง”
คำพูดที่อันธพาลและดุดันเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ ทำให้หวูโหย่วเจิ้งต้องนิ่งเงียบ นี่เป็นคำพูดที่พาลมากที่สุดที่เขาเคยได้ยินมาในชีวิต โลกนี้ไม่มีคำพูดไหนที่พาลยิ่งกว่านี้อีกแล้ว
“ความมั่นคงในจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของคุณชาย รุ่นพวกเราไม่อาจเทียบเคียงได้ เมื่อเปรียบด้านจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรกับคุณชาย เหล่าพวกเราเป็นเพียงมดปลวกเท่านั้นเอง” หวูโหย่วเจิ้งอดที่จะทอดถอนใจขึ้นมาไม่ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...