ตอนที่ 2636 ผู้เฝ้าดูต้นไม้
“ลู่เคอะเวิง…” มีผู้ร้องออกมาเบาๆ เมื่อมองเห็นผู้เฒ่าผู้นี้ก้าวเดินออกมาจากป่า
ผู้คนจำนวนมากต่างจดจำเขาได้ทันทีเมื่อเห็นผู้เฒ่าผู้นี้ เทียบกับสี่พุทธาแล้ว ทุกคนจะรู้จักลู่เคอะเวิงมากกว่า สิ่งนี้นอกเหนือจากชื่อเสียงที่มีมากกว่าของลู่เคอะเวิงแล้ว ยังเป็นเพราะสี่พุทธาน้อยครั้งนักที่จะออกมาจากฉางจินต้ง และตลอดเวลาที่ผ่านมา ทุกคนล้วนแล้วแต่เข้าใจว่าสี่พุทธาคือคนสี่คน แต่ไม่ใช่เพียงคนๆ เดียว
“ลู่เคอะเวิงนะเนี่ย เทพแท้จริงขั้นอมตะที่ยอดเยี่ยมมากทีเดียว” ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยเกิดความนับถือขึ้นมา และกล่าวว่า “เขาเสมือนหนึ่งเป็นฟอสซิลที่มีชีวิตของแดนลัทธิราชันอย่างนั้น”
แม้จะกล่าวว่า ลู่เคอะเวิงหาใช่ระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะที่แข็งแกร่งที่สุดของแดนลัทธิราชันในยุคปัจจุบัน มีผู้คนจำนวนมากกล่าวว่า เมื่อเปรียบเทียบกับกู่อี้เฟยแล้วลู่เคอะเวิงยังไม่เท่า ยังคงด้อยกว่านิดหนึ่งประมาณนั้น โดยเฉพาะหลังจากที่ได้รับทราบว่านักพรตไป๋ยื่อได้บรรลุผ่านด่านความเป็นความตายได้ และกลายเป็นระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นคงความอมตะตลอดกาลแล้ว ทำให้การจัดอันดับในแดนลัทธิราชันของลู่เคอะเวิงต้องเลื่อนลงไปอีก แต่ว่า ลู่เคอะเวิงยังคงทำให้ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนบางส่วนต้องเกิดความนับถือขึ้นมา
“เมื่อเปรียบเทียบกับนักพรตไป๋ยื่อแล้ว พวกเขาใครกันที่มีอาวุโสมากกว่ากัน?” มีผู้เอ่ยถามเสียงแผ่วเบาเมื่อมองเห็นลู่เคอะเวิง
“เป็นลู่เคอะเวิง นับตามระยะเวลาที่เข้าสู่ยุทธภพแล้ว เขามาก่อนนักพรตไป๋ยื่อยุคสมัยหนึ่ง เขาถือเป็นฟอสซิลมีชีวิตของแดนลัทธิราชัน” มีระดับบรรพบุรุษตระกูลขุนนางโบราณกล่าวว่า “เพียงแต่ ในแดนลัทธิราชันถือเอาผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่”
นักพรตไป๋ยื่อได้กลายเป็นระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นคงความอมตะตลอดกาล สิ่งนี้ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยเข้าใจผิดว่านักพรตไป๋ยื่อมีอายุมากกว่าลู่เคอะเวิง ความจริงแล้ว อายุของลู่เคอะเวิงแก่กว่านักพรตไป๋ยื่อเสียอีก
แม้จะกล่าวว่าในแดนลัทธิราชันถือเอาผู้ที่มีกำลังความสามารถเป็นใหญ่ แต่ กำลังความสามารถของลู่เคอะเวิงก็ไม่ได้ด้อยกว่ากันสักเท่าไร แม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับนักพรตไป๋ยื่อที่อยู่ในฐานะชั้นคงความอมตะตลอดกาล เทียบกับกู่อี้เฟยแล้วก็ด้อยกว่ากันนิดหนึ่ง แต่ นอกจากพวกเขาแล้วก็ยากที่จะหาผู้ใดในแดนลัทธิราชันมาเทียบเคียงกับพวกเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้น เขาคือระดับเทพแท้จริงขั้นอมตที่เป็นที่รับรู้ของผู้คนในแดนลัทธิราชันทั้งหมดว่ามีอายุมากที่สุด
“เรื่องราวสารพันบนโลก ไม่ถึงสุดท้ายอย่าพูดถึงเรื่องแพ้ชนะ มิฉะนั้นก็คือสรุปเร็วเกินไป” ลู่เคอะเวิงก้าวเดินออกมา ผมขาวหน้าเด็กของเขาให้ความรู้สึกผู้คนถึงความอ่อนโยนและมีความเมตตา เหมือนเป็นผู้อาวุโสที่มีความเมตตาอ่อนโยนน่าเข้าใกล้คนหนึ่งอย่างนั้น
แน่นอน มีผู้ที่เยาะเย้ยอยู่ในใจและเมินใส่ ถ้าหากลู่เคอะเวิงเป็นผู้ที่มีความเมตตาอ่อนโยนน่าเข้าใกล้ล่ะก็ คงไม่นำเอาชีวิตหลายล้านชีวิตมาบูชายันต์สร้างเป็นอาวุธต้องห้ามแล้ว สิ่งที่เขาแสดงออกมาให้เห็นเป็นเพียงหน้าตาที่เป็นเมตตาจอมปลอมเท่านั้นเอง
“ไม่ ไม่เร็วไปแม้แต่น้อย” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยว่า “ในสายตาของข้า พวกเจ้าล้วนแล้วแต่เป็นคนตายทั้งนั้น เพียงแต่จะนอนลงช้านอนลงเร็วเท่านั้นเอง แต่ว่า สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ไม่มีอะไรแตกต่าง”
พลันที่คำพูดนี้ถูกพูดออกมา ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าของราชันแท้จริงมู่เจี้ยน หรือว่าลู่เคอะเวิงล้วนแล้วแต่ดูไม่จืดขึ้นมา แม้ว่าพวกเขาจะมีจิตใจที่กว้างขวางแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะมีความสามารถในการควบคุมอารมณ์แล้ว แต่ในใจของพวกเขายังคงมีเพลิงแห่งความโกรธสายหนึ่งที่ลุกไหม้ขึ้นมา
พวกเขาคือผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะผู้มีชื่อเสียงสะเทือนไปทั่วหล้า สามารถบัญชาการทั่วหล้า เวลานี้หลี่ชิเย่กลับมองพวกเขาไม่มีตัวตน ออกจากปากของหลี่ชิเย่แล้วพวกเขาเสมือนดั่งเป็นเนื้อที่อยู่บนเขียง สุดแต่หลี่ชิเย่จะเชือดเฉือนเอาตามอำเภอใจ สิ่งนี้จะไม่ให้พวกของราชันแท้จริงมู่เจี้ยนต้องบังเกิดเพลิงแห่งความโกรธที่ลุกโชนขึ้นในใจได้อย่างไรกันเล่า ชั่วดีอย่างไรพวกเขาก็คือผู้ดำรงอยู่ในฐานะน่าเกรงขามไปทั่วหล้า
“วาจาสามหาวมาก เจ้าคิดว่าสามารถมองผู้คนใต้หล้าทั้งหมดเป็นดั่งมดปลวกอย่างนั้นรึ?” สี่พุทธาดูจะมีอารมณ์รุนแรงมากกว่า จึงไม่สามารถอดกลั้นได้ในเวลานี้ ส่งเสียงฮึทีหนึ่งนัยน์ตาทั้งสองพวยพุ่งเป็นประกายสีทองออกมา เหมือนว่าดวงตาทั้งสองของเขาสามารถพวยพุ่งเป็นน้ำพุทองคำออกมาอย่างนั้น สามารถหลอมละลายทุกสิ่งทุกอย่างได้ในทันที
“ถูกต้อง” หลี่ชิเย่เล่นกันตรงๆ เด็ดขาด กล่าวเรียบเฉยว่า “ในสายตาของข้าพวกเจ้าก็คือมดปลวก และเป็นมดปลวกที่รนหาที่ตายเอง ในเมื่อพวกเจ้ามาทำให้ข้าต้องเสียเวลา ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะฆ่าพวกเจ้าเสียทีละคนๆ กล่าวสำหรับข้าแล้ว เหยียบมดตายตัวหนึ่งกับเหยียบมดตายสองตัวก็ไม่มีอะไรแตกต่าง”
เมื่อคำพูดนี้ถูกพูดออกมา เพลิงแห่งความโกรธของพวกราชันแท้จริงมู่เจี้ยนสามคนยิ่งมีความคึกคักมากขึ้น ดวงตาทั้งสองของลู่เคอะเวิงดูน่าเกรงขาม พลันดูเจิดจ้าเหมือนส่องสว่างทุกสิ่งบนโลกอย่างนั้น ภายใต้ประกายตาที่เจิดจ้าของเขาเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกล้วนแล้วแต่ ปรากฎ่ขึ้นมาอย่างชัดเจน
สำหรับคนอื่นๆ เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่แล้ว ได้แต่จ้องมองตากันและกัน ทุกคนนอกเหนือจากยิ้มเจื่อนๆ แล้วยังคงเป็นยิ้มเจื่อนๆ การที่คนโหดอันดับหนึ่งจะพูดคำพูดที่อันธพาลเช่นนี้หาใช่เป็นเรื่องแปลกอีกต่อไปแล้ว แม้แต่นักพรตไป๋ยื่อเขายังไม่เห็นอยู่ในสายตา แล้วเขาจะเห็นพวกของลู่เคอะเวิงอยู่ในสายตาได้อย่างใดกันเล่า
“พวกของลู่เคอะเวิงร่วมมือกันสามคนแล้วต่อสู้ชี้ขาดกับคนโหดอันดับหนึ่ง ใครจะแพ้ใครจะชนะ?” มีผู้ที่เอ่ยถามเสียงแผ่วเบาขึ้นมา
“เรื่องนี้…” เมื่อได้ยินคำถามลักษณะเช่นนี้ แม้แต่ระดับบรรพบุรุษที่เก่ากะลาและมีประสบการณ์สูงสุดก็ตอบไม่ได้ สุดท้ายได้แต่ครุ่นคิดและกล่าวว่า “เรื่องนี้ เรื่องนี้นับว่าพูดยาก กระทั่งบัดนี้ข้าก็ยังดูคนโหดอันดับหนึ่งได้ไม่ชัดเจน ข้ายังคงไม่รู้ว่าจุดสูงสุดของคนโหดอันดับหนึ่งอยู่ตรงไหน ดังนั้น เรื่องนี้ เรื่องนี้นับว่าพูดยากจริงๆ” หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน พวกของลู่เคอะเวิงสามคนร่วมมือกันต่อสู้ชี้ขาดกับผู้เยาว์สักคนล่ะก็ ทุกคนคงไม่ต้องคิด ต้องเป็นพวกของลู่เคอะเวิงสามคนชนะอย่างท่วมท้นแน่นอน
เวลานี้ เมื่อเรื่องลักษณะเช่นนี้มาเกิดบนตัวของคนโหดอันดับหนึ่ง คนที่ชั่วร้ายยิ่งคนนี้ เวลานี้ทุกคนต่างไม่มั่นใจแล้ว ทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่รู้ว่าขีดความสามารถสูงสุดของคนโหดอันดับหนึ่งอยู่ตรงไหน เหมือนว่าเขาไม่มีที่สิ้นสุดอย่างนั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...