ราชันอสูรสงครามสะท้านภพ นิยาย บท 6

  ณ หุบเขาแห่งหนึ่งอยู่ไม่ไกลจากป่าต้องห้ามนัก  ที่แห่งนี้มีหมู่ตึกขนาดขนาดใหญ่ซ่อนตัวอยู่จากโลกภายนอก  ท่ามกลางธรรมชาติอันสวยงามมีทางเดินหินอ่อนทอดยาวไปถึงตรงลานกว้าง   

ที่แห่งนั้นมีรูปปั้นชายวัยกลางคนในชุดนักพรตดูสูงส่งสง่างามราวเทพเซียนยืนตระหง่านอยู่ โดยที่ส่วนของใบหน้านั้นเงยขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบน  มือขวาของรูปปั้นถือกระบี่พาดเฉียงลงที่พื้น ส่วนมือซ้ายพาดไว้ด้านหลัง  ความพิเศษของรูปปั้นนี้คือยามราตรีเมื่อดวงจันทร์อยู่บนท้องฟ้าจะทอประกายสีขาวนวลออกมาจางๆ

            บริเวณรอบรูปปั้นมีเด็กหนุ่มสาวอยู่หลายคนที่กำลังนั่งสมาธิฝึกฝนด้วยความสงบ ผู้อยู่อาศัยรวมทั้งคนรับใช้ในหมู่ตึกนี้มีราวๆพันกว่าคน  ด้วยเขตอาคมที่ใช้ในการรวบรวมปราณวิญญาณระดับสูง  ต่อให้เป็นชาวบ้านธรรมดาขอแค่เพียงได้อาศัยอยู่ที่นี่โดยไม่ต้องฝึกตนก็สามารถมีอายุยืนยาวเกินร้อยปีได้อย่างง่ายดาย

            ภายในตัวตึกหลังที่ใหญ่ที่สุด  มีรูปปั้นหินกิเลนขนาดใหญ่อยู่สองตัวทำหน้าที่เสมือนเป็นผู้เฝ้าประตูทางเข้า ลักษณะรูปปั้นกิเลนดูสมจริงเป็นอย่างมาก ตรงนัยน์ตาถูกฝังด้วยมุกราตรีเม็ดใหญ่ทอประกายแวววาว  

เหนือประตูทางเข้ามีป้ายไม้พะยูงอย่างดีเขียนด้วยตัวอักษรสีทองขนาดใหญ่  “ ตระกูลไป่ ”

 

            ด้านในห้องประชุมของตระกูลไป่ตอนนี้มีเด็กอยู่สองคน ประกอบไปด้วยเด็กหนุ่มอายุประมาณสิบห้าปีหน้าตาหล่อเหลารูปร่างผอมบาง ใบหน้าซีดเซียวเล็กน้อยเหมือนมีอาการเจ็บป่วย ด้านข้างมีเด็กหญิงตัวเล็กหน้าตาน่ารัก ดูเฉลียวฉลาด อายุประมาณแปดขวบ

            ทั้งสองคนกำลังยืนมองไปที่กระจกบานใหญ่ตรงใจกลางห้องประชุมอย่างสนใจ  ซึ่งภาพเหตุการณ์ในกระจกก็คือภาพการต่อสู้ของเหยี่ยนฮ่าวกับอาเว่ยนั่นเอง

            “ ท่านพี่ไป่ฟงพี่ชายคนนั้นจะชนะมั้ย ”  เด็กหญิงตัวน้อยชี้ไปทางเหยี่ยนฮ่าวที่ถูกอาเว่ยโหมโจมตีใส่อย่างต่อเนื่อง

            “ ไม่ต้องห่วงหรอกลั่วเออร์แม้เขาจะมีพลังด้อยกว่า  แต่ประสบการณ์ต่อสู้เหนือกว่ามากนัก เขาเหมือนกำลังถ่วงเวลาเพื่อฟื้นฟูเรี่ยวแรงอยู่ ”  ไป่ฟงตอบคำถามน้องสาวเขาอย่างสบายๆ ทั่งคู่เฝ้าดูการต่อสู้ของเหยี่ยนฮ่าวมาตั้งแต่ตอนถูกมือเกาทัณฑ์รุมยิงแล้ว

 

            วันนี้ผู้อาวุโสเกือบทั้งหมดในตระกูลออกไปปฏิบัติภารกิจสำคัญ  แม้แต่ศิษย์พี่หญิงก็ยังแอบลอบตามไป เหลือเพียงเขากับน้องสาวถูกทิ้งไว้  โดยที่ตัวเขาเองก็โดนน้องสาวออดอ้อนให้มาเปิดใช้งานคันฉ่องส่องหล้าให้นางชมดู

            

ภายใต้กฎของตระกูลนั้นหากไม่สำเร็จถึงขั้นปราณนภาจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปโลกภายนอก   แต่ตัวน้องสาวของเขาไป่ลั่วเออร์นั้นมีความสนใจในโลกภายนอกมาก นางมักจะรบเร้าให้ศิษย์พี่หญิงเปิดใช้งานคันฉ่องเพื่อชมดูการใช้ชีวิตของชาวเมืองรอบๆป่าต้องห้ามเสมอ 

 

“ ท่านพี่ไป่ฟง  พี่ชายคนนั้นได้รับบาดเจ็บแล้ว ”  ไป่ลั่วเออร์ร้องออกมาด้วยความกังวล

 

“ อืม….เป็นถึงปราณปฐพีขั้นปลายกับลอบทำร้ายนักสู้ระดับเจ็ด ไร้เหตุผลสิ้นดี ” ไป่ฟงบ่นออกมาเบาๆ  ตามภาพที่เห็นในคันฉ่องคือ เหยี่ยนฮ่าวถูกรังสีกระบี่หยางเจี้ยนฟันใส่จนกระเด็นและได้รับบาดเจ็บ

 

“ ทำยังไงดี ?  ท่านพี่ไป่ฟง….พี่ชายคนนั้นจะโดนฆ่าแล้ว ” ไปลั่วเออร์ดึงแขนเสื้อไป่ฟงเอาไว้ ใบหน้าเล็กๆน่ารักนั้นจ้องมองไปที่พี่ชาย นางแบะปากมีน้ำตาเม็ดเล็กไหลซึมอยู่ตรงหางตาดูน่าเวทนายิ่ง

“ เอ่อ…คือ ” ไป่ฟงมีสีหน้าลำบากใจ  แต่เขาก็พอเข้าใจความคิดของน้องสาว  พวกเขาได้เฝ้าดูการต่อสู้ของเหยี่ยนฮ่าวผ่านทางคันฉ่องมาได้ระยะหนึ่งแล้ว มันก็เหมือนท่านดูละครเรื่องหนึ่งแล้วพอถึงฉากที่ตัวเอกกำลังจะโดนผู้ร้ายฆ่าตาย  นางย่อมทนไม่ได้เป็นธรรมดา

 

“ แต่กฎในตระกูลเราห้ามเข้าไปเกี่ยวข้องกับบุญคุณความแค้นของโลกภายนอกนะ ”  ไป่ฟงพูดออกมาเบาๆ  เขาสบตากับน้องสาวที่น้ำตาปริ่มๆจะไหลเต็มทีแล้ว

“ ท่านพี่….ข้าไม่อยากให้พี่ชายคนนั้นตาย ”  เด็กหญิงตัวน้อยพูดออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ นางยังคงจับแขนเสื้อของไป่ฟงไว้แน่น เหมือนแสดงท่าทีไม่ยินยอม

“ เฮ้ออ…..เอาเถอะข้าช่วยก็ได้ ” เขาถอนหายใจออกมายาวๆแล้วตัดสินใจทำตามคำขอของน้องสาว  “ แต่ลั่วเออร์ห้ามบอกเรื่องนี้กับใครนะ ”

 

เมื่อมองน้องสาวที่ยิ้มหวานพยักหน้าตอบรับ   ตัวเขาก็โบกมือเบาๆแผ่นหยกที่ใช้ควบคุมคันฉ่องก็ลอยเข้ามาหาทันที 

 

“ ข้าทำได้เพียงดึงพลังจากค่ายกลสะกดมารเล็กน้อยตรงชายป่า มาใช้สร้างเป็นอาณาเขตป้องกันรอบตัวเขาเท่านั้นนะ ”

“ ส่วนที่เหลือก็คงต้องปล่อยให้เขาหาทางรอดเอาเอง ”  ไป่ฟงพูดอธิบายให้น้องสาวฟังแล้วใช้มือซ้ายกำแผ่นหยกไว้    จากนั้นใช้นิ้วชี้ขวาวาดอักขระเวทรอบตัวเหยียนฮ่าวผ่านภาพที่ปรากฎในคันฉ่อง

ณ บริเวณชายป่าต้องห้าม

            ทางฝั่งของเหยี่ยนฮ่าวแม้จะถูกกดดันจากจิตต่อสู้ของหยางเจี้ยน แต่เขาก็ยังคงพยามรักษาจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เอาไว้ แม้ร่างกายจะได้รับบาดเจ็บจนยืนแทบไม่ไหว แต่จิตใจก็ไม่ได้โดนกดดันจนพังทลาย สมองของเขากำลังพยามคิดหาหนทางเพื่อที่จะหนีรอดออกไปให้ได้

          

  “ ข้าชื่อ…เหยี่ยนฮ่าว ” เหยี่ยนฮ่าวตอบออกมาด้วยเสียงดังชัดเจน  ไม่มีความหวาดกลัวในน้ำเสียง

            

แววตาชื่นชมปรากฏออกมาวูบหนึ่งในดวงตาหยางเจี้ยน    เขาเริ่มรู้สึกถูกใจเด็กหนุ่มเบื้องหน้าเล็กน้อย มีน้อยคนนักที่ยังรักษาท่าทีสงบนิ่งไว้ได้ยามเมื่อเผชิญกับความตายตรงหน้า  แต่ดูจากระดับฝึกฝนที่ยังอ่อนด้อยคงจะมีพรวรรค์ไม่ดีนักจึงไม่ได้เข้าร่วมนิกาย

            จากการสังเกตเด็กหนุ่มคนนี้ มีทักษะในการต่อสู้โดดเด่นมากโดยเฉพาะการตัดสินต่างๆ เหมือนผ่านการคำนวนมาล่วงหน้าจนควบคุมการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ได้  ทั้งยังรู้จักใช้ความคิดทั้งที่สามารถทำร้ายอาเว่ยได้ตั้งแต่สามกระบวนท่าแรก  แต่กลับเลือกที่จะถ่วงเวลาเพื่อหาทางหนีแทน  แต่เพราะสถานที่นี้ใกล้กับป่าต้องห้ามมากเกินไป ทั้งยังเหลือเวลาอีกไม่นานพระอาทิตย์ก็จะตก เขาจึงต้องรีบจบการต่อสู้นี้เสีย

            “ เหยี่ยนฮ่าว!..จงมาติดตามข้า เจ้าจะได้เข้าร่วมนิกายเก้ามังกรและได้รับทรัพยากรเท่ากับสาวกภายใน ” หยางเจี้ยนกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าคาดหวัง  น้อยครั้งนักที่เขาจะเสนอโอกาสดีแบบนี้ให้

            “ ข้า…แต่ข้าเป็นคนแคว้นฉู่ ” เหยี่ยนฮ่าวตอบออกมาด้วยความลังเล

            “ ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นคนของแคว้นไหน  ข้าสนใจเพียงความสามารถเท่านั้น เงื่อนไขเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะเสนอให้ใครง่ายๆ  อีกเพียงสามปีกองกำลังของข้าจะประกาศศักดาทั่วทั้งเจ็ดแคว้น  เจ้าติดตามข้าตั้งแต่ตอนนี้รับรองไม่ผิดหวัง ”  หยางเจี้ยงพูดออกมาเสียงดังด้วยแววตาเจิดจ้า

            

สีหน้าของเหยี่ยนฮ่าวเปลี่ยนแปลงไม่หยุด  ความคิดของเขาต่อสู้กันเองในสมอง  นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับโอกาสเข้าร่วมนิกาย ทั้งยังมาจากความสามารถของตัวเขาเอง  ตั้งแต่เด็กเขาได้รับแต่เสียงดูถูกจากคนในตระกูล  แม้แต่สหายก็ยังแทบไม่มี  นอกจากครอบครัวของเขาเองก็ไม่มีผู้ใดเลยที่ให้การยอมรับตัวเขา  

เรื่องอีกสามปีข้างหน้าที่หยางเจี้ยงบอกก็มีโอกาสเป็นได้ได้สูง เพราะตอนนี้นิกายเก้ามังกรได้ควบคุมแคว้นจ้าวไว้ได้หมดแล้ว หยางเจี้ยนก็เปรียบเสมือนผู้สืบทอดของจ้าวนิกายในอนาคต กองกำลังของหยางเจี้ยนแทบไม่ต้องคำนึงถึงปัญหาเรื่องทรัพยากร 

            แต่หากเขาเลือกเป็นผู้ติดตามของหยางเจี้ยน ก็หมายถึงเขาทรยศต่อแคว้นฉู่หักหลังต่อตระกูลและบิดามารดาของตน  ท่านพ่อเขานั้นสั่งสอนเสมอถึงความซื่อสัตย์ ในตระกูลเหยี่ยนสิบแปดรุ่นไม่เคยมีผู้ใดเป็นคนทรยศขายชาติ 

หรือเขาควรตอบรับไปก่อนแล้วค่อยหาทางหนี

            “ ถ้าหากเจ้ายอมรับ ก็ต้องทำพันธสัญญานายบ่าวกับข้า  รอจนกว่าเจ้าจะผ่านการทดสอบของข้า ข้าจึงจะยกเลิกพันธสัญญาให้ ”  หยางเจี้ยนพูดออกมาเหมือนรู้ทันความคิดเหยี่ยนฮ่าว  ถ้าหากทำสัญญานายบ่าวแล้วเพียงแค่หนึ่งความคิดของหยางเจี้ยนก็สามารถปลิดชีพเหยี่ยนฮ่าวได้ทันที 

            หลังจากได้ยินเงื่อนไขเหยี่ยนฮ่าวก็ชะงักทันที  เพราะหากตอบรับก็เหมือนชีวิตตนอยู่ในกำมืออีกฝ่าย  แถมการทดสอบที่ว่าก็ไม่รู้จะใช้เวลานานแค่ไหน 

มือที่ถือหอกอยู่เริ่มกำแน่นขึ้นเรื่อยๆ  เขาไม่มีทางยินยอมเด็ดขาด เขาเหลือเวลาอีกเพียงสิบสามปีเท่านั้น

ครืนนน

ความกดดันจากจิตต่อสู้ของหยางเจี้ยนเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอสูรสงครามสะท้านภพ