ราชันอสูรสงครามสะท้านภพ นิยาย บท 16

  ณ พระราชวังจักรพรรดิแคว้นจ้าว

 

          อนุสาวรีย์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนลานกว้างที่มีพื้นนับร้อยลี้  ที่นี่ได้รับดูแลรักษาสภาพเป็นอย่างดี   มีเสาหินยักษ์ทั้งแปดค้ำยันสิ่งปลูกสร้างมีลักษณะเป็นรูปวิหาร

            ด้านข้างวางไว้ด้วยป้ายหินสองป้ายสูงประมาณยี่สิบเมตร แกะสลักเป็นรูปร่างมังกรห้ากงเล็บดูยิ่งใหญ่อลังการ

          ตัวอังษรที่ถูกแกะสลักอยู่ตรงป้ายทั้งสองคือ

ด้านซ้ายคือ  บัญชามหาทัพ

            ด้านขวาคือ  สยบเจ็ดแคว้น

         

มีบันไดทอดยาวขึ้นไปสู่ด้านในของวิหาร  โดยที่ทั้งสองฝั่งของบันได้แกะสลักรูปทหารบนหลังม้ากำลังเคลื่อนที่เข้าไปด้านหน้าอย่างห้าวหาญ

            ด้านในสิ่งปลูกสร้าง มีพรมสีแดงที่ถูกปูไว้เป็นเส้นทางเดินตรงเข้าไป  โดยที่มีรูปปั้นแม่ทัพในชุดเกราะรูปร่างกำยำข้างละสองรูป  ซึ่งได้ยืนอยู่ในทวงท่าที่มือของพวกเราวางอยู่บนด้ามกระบี่ ราวกับพวกเขาจะชักกระบี่ออกมาได้ตลอดเวลา 

ผู้ที่ได้พบเห็น ล้วนสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาของรูปปั้นทั้งสี่ เหมือนกับว่ามันมีชีวิตและสามารถสังหารผู้ใดก็ตามที่ฝ่าฝืนเจ้านายของตน

           

“ รูปปั้นทั้งสี่นี้คือแม่ทัพจตุเทพที่ได้อุทิศตนปกป้อง และคุ้มครองปฐมจักรพรรดิ ตั้งแต่ยามที่ยังมีชีวิตอยู่จนกระทั่งยามตาย ” เสียงชายชราดังขึ้น

            ตอนนี้บนพรมสีแดงประกอบไปด้วย ชายชราคนหนึ่งสวมหน้ากากทองคำ อยู่ในชุดจักรพรรดิลายมังกร

เขากำลังยืนเหม่อมองที่รูปปั้นทั้งสี่โดยที่ดวงตาสะท้อนถึงความเคารพนับถือ  ทางด้านหลังของเขา มีชายวัยกลางคนสองคนในชุดดำ กำลังก้มหน้าคุกเข่าอยู่ด้วยความวิตกกังวล  ทั่งคู่คือผู้คุ้มกันลับที่แฝงตัวเข้าไปในกองทหารของหยางเจี้ยนนั่นเอง

           

“ ยามนั้นในขณะที่แม่ทัพจตุเทพยังมีชีวิต องค์ปฐมจักรพรรดิไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน แม้ว่าจะผ่านศึกสงครามนับร้อย จนเกือบจะรวบรวมแผ่นทั้งหมดไว้ในมือ ”

          “ แม้แต่ในยามที่ท่านถูกทรยศจากพี่น้องร่วมสาบานของตัวเอง จนตกอยู่ในวงล้อมทหารนับล้าน แม่ทัพสี่ล้วนพลีชีพเพื่อที่จะรักษาพระศพเอาไว้ จนถอยกลับมาสู่แคว้นจ้าวได้ ”

          ชายชราหน้ากากทองยังคงพูดอย่างช้าๆ ในขณะที่เขากำลังก้าวเดินไปทางด้านหน้า พร้อมกับดวงตาที่มองไปยังรูปปั้นแต่ละรูป

           

“ ตลอดเวลาเกือบสองหมื่นปี  ข้าได้ให้คนดูแลรูปปั้นเหล่านี้อย่างดี หากมีฝุ่นอยู่บนรูปปั้นแม้เพียงเล็กน้อย ผู้ดูแลในยามนั้นมีบทลงโทษเพียงอย่างเดียวคือประหาร ไม่มีการสืบสวน…ไม่ต้องการคำอธิบาย ”

          ชายวัยกลางคนสองคนที่คุกเข่าอยู่ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว  ลางสังหรณ์อันเลวร้ายเริ่มปรากฏขึ้นในใจ

           

เสียงพูดของชายชราหน้ากากทองเงียบไปครู่หนึ่ง เมื่อเขาเดินมาหยุดลงตรงรูปปั้นขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงกลาง พรมสีแดงที่ถูกปูเอาไว้ได้สิ้นสุดลงตรงจุดนี้

            รูปปั้นที่ถูกแกะสลักด้วยทองคำสูงประมาณสิบเมตร เป็นบุรุษวัยกลางคนที่อยู่บนหลังม้า ร่างของเขาตั้งตรง ดวงตาที่ฉลาดหลักแหลมของเขานั้นเปล่งประกายเจิดจ้า เหมือนดั่งไม่มีสิ่งใดในแผ่นดินอยู่ในสายตา

            มือข้างซ้ายของเขาจับบังเหียนม้าเอาไว้ ในขณะที่มือข้างขวานั้นชี้กระบี่ขึ้นไปบนท้องฟ้า มุมปากของเขานั้นโค้งเป็นรอยยิ้มอย่างเยือกเย็นและน่าเกรงขาม ผ้าคลุมด้านหลังเหมือนกำลังจะลอยไปตามสายลม  นี่เป็นลักษณะของจอมราชันผู้อยู่เหนือคนทั้งแผ่นดิน

          ลูกหลานที่เกิดในราชวงศ์แคว้นจ้าวได้เคารพบูชารูปปั้นนี้ดุจเทพเจ้า

           

            ยามเมื่อมองเห็นรูปปั้นของปฐมจักรพรรดิเบื้องหน้า รังสีความกดดันอันมหาศาลก็ระเบิดออกมาจากชายชราหน้ากากทอง

ครืนๆ

            “ ข้าบอกให้พวกเจ้าสองคนคุ้มกันนายน้อยให้ดี…พวกเจ้าไม่เข้าใจหรือ” ตอนนี้เสียงแห่งความเกรี้ยวโกรธของเขาระเบิดออกมาอย่างรุนแรง  เขานึกไปถึงเมื่อยามที่เห็นหยางเจี้ยนกลับมาถึงพระราชวังแค้วนจ้าว ด้วยอาการปาดเจ็บสาหัส

            ซึ่งจากรายงานที่ได้รับมา จอมมารกลืนวิญญาณเจี่ยสือ ได้บุกเข้าไปที่ค่ายทหารแล้วใช้เคล็ดวิชากลืนวิญญาณสังหารทหารไปกว่าสามพันนาย ก่อนที่จะหายตัวไป  ตัวหยางเจี้ยนเองในตอนนั้นก็ตกเป็นเป้าหมายเช่นกัน  ยังดีที่สามารถใช้อาคมเคลื่อนย้ายหลบหนีออกมาได้

           

            “ ท่านจ้าวนิกายโปรดเมตตาด้วย ” ผู้คุ้มกันสองคนที่คุกเข่าอยู่ ได้โขกศีรษะลงที่พื้นไม่หยุด

            “ ไม่เลย…พวกเจ้าไม่เคยเข้าใจ ”  จ้าวนิกายเก้ามังกรที่สวมชุดจักรพรรดิ หันมามองผู้คุ้มกันทั้งสองแล้วส่ายหน้าเล็กน้อย

            “ ยามเมื่อแม่ทัพจตุเทพอยู่ข้างกายองค์ปฐมจักรพรรดิ ไม่เคยมีผู้ใดสร้างบาดแผลให้พระองค์ได้ แม้ยามพระองค์ถูกทรยศหลักหลังจนสิ้นชีพ แม่ทัพทั้งสี่ก็ยอมต่อสู้จนตัวตายเพื่อรักษาพระศพ ”

            “ แล้วเจ้าทั้งสองเล่า…เมื่อยามที่นายน้อยได้รับบาดเจ็บสาหัสเหตุใดพวกเจ้าจึงยังมีชีวิตอยู่ !” เสียงแห่งความพิโรธของจ้าวนิกายดังขึ้น  หากผู้คุ้มกันสองคนตรงหน้าใช้ชีวิตเข้าแลก หยางเจี้ยนก็คงสามารถหลบหนีได้อย่างปลอดภัย

 

            “ ข้าจะบอกความลับบางอย่างแก่พวกเจ้า   นายน้อยหยางเจี้ยนคือวิญญาณขององค์ปฐมจักรพรรดิที่มาจุติใหม่ ” จ้าวนิกายพูด หลังจากนั้นเขาก็ได้ถอดหน้ากากทองคำออกมา ท่ามกลางสายตาที่ตกใจของผู้คุ้มกันทั้งสอง

          “ นิกายเก้ามังกรก็ถูกสร้างขึ้นโดยองค์ปฐมจักรพรรดิ  นี่เป็นเหตุผลที่จ้าวนิกายทุกรุ่นก็คือจักรพรรดิของแคว้นจ้าว ข้าเองก็เช่นกัน ”

          “ ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจแล้วหรือยัง !”

บทที่14 ความวุ่ยวายที่กำลังจะปะทุ 1

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอสูรสงครามสะท้านภพ