ราชันอสูรสงครามสะท้านภพ นิยาย บท 7

ท่ามกลางความมืดมิด มองเห็นเพียงภาพเงาต้นไม้ลางๆจากแสงจันที่สาดส่องเข้ามาเพียงเล็กน้อย 

เสียงแมลงกินศพกับเสียงร้องของนกปิศาจทำให้บรรยากาศในพื้นที่นี้ดูวังเวงและหนักอึ้งจนแทบหายใจไม่ออก  

เหยี่ยนฮ่าวค่อยๆฟื้นคืนความเหนื่อยล้า เขาเอนหลังพิงกับลำต้นของต้นสักขนาดใหญ่ โดยที่ด้านข้างเขามีซากศพพังพอนสีขาวขนาดเท่าลูกกวางกองอยู่   

หลังแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ลาลับไป  ป่าแห่งนี้ก็เหมือนถูกปลุกให้ตื่นขึ้น มีอันตรายพบได้อยู่ทุกแห่งหน 

กลุ่มทหารที่เคยตามล่าเขายังกลายเป็นเพียงซากศพนอนเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น  กลายเป็นอาหารให้พวกหนอนแมลงได้กัดกิน  

ส่วนเจ้าพังพอนขาวที่กองอยู่ห่างจากตำแหน่งเขาไปไม่ไกลนั้นเป็นสัตว์อสูรระดับสองขั้นสูง ซึ่งเทียบเท่ายอดฝีมือเขตรวมปราณ  การโจมตีของมันนั้นมีหลากหลายรูปแบบ  เช่นภาพลวงตาหลอนจิตใจให้ตกในภวังค์  มนต์ที่ตรึงร่างกายให้ขยับไม่ได้  เขี้ยวเล็บของมันทั้งว่องไวและโหดเหี้ยม 

ในตอนนั้นเขาโดนภาพลวงตาของมันเล่นงานตอนกำลังหลบหนี  หากมิใช่เพราะมันเลือกกำจัดเหยื่อที่เข้มแข็งก่อนอย่างฝ่ายทหารที่ไล่ตามมา  ทำให้เขามีโอกาสตอบโต้ได้ บวกกับการโจมตีครั้งสุดท้ายจากหัวหน้าหน่วยทหาร ทำให้มันได้รับบาดเจ็บสาหัส 

จนกระทั่งเขาหลุดออกจากภาพลวงตา และอาศัยจังหวะที่มันกำลังดูดโลหิตจากศพทหารเพื่อฟื้นคืนอาการบาดเจ็บ  ซัดหอกเข้าใส่จนเป็นฝ่ายสังหารมันลงได้ 

“ ข้าต้องรีบออกไปจากที่นี่  กลิ่นเลือดจะดึงดูดปัญหาเข้ามา”  เขาเก็บถุงเสบียงจากศพหัวหน้าทหารแล้วหลบหนีไปทันที

 

            ตอนนี้ถือได้ว่าเหยี่ยนฮ่าวสลัดหลุดจากการตามล่าของพวกทหารแคว้นจ้าวได้แล้ว  เขาจึงเน้นเคลื่อนไหวอย่างรัดกุมเพื่ออำพรางร่องรอยตนเอง  โดยหลบหนีไปตามความมืดของเงาต้นไม้ ทั้งยังอาศัยเคล็ดวิชาเก็บซ่อนกลิ่นอายตัวเองจากพวกสัตว์อสูร  

โชคดีที่ตั้งแต่หลบหนีเข้ามายังไม่เจอพวกวิญญาณร้ายจำนวนมากที่เขาเห็นตรงชายป่า  มิเช่นนั้นโอกาสเอาตัวรอดคงแทบไม่เหลือ 

“ ต้องหาสถานที่ซ่อนตัวจนถึงเช้า แล้วค่อยหาทางหนีออกไปจากป่านี่”

 

 หลังจากเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง  

เหยี่ยนฮ่าวเจอต้นไม้ขนาดใหญ่ต้นหนึ่งที่หักโค่นลงมา ลำต้นมันหนาขนาดสามคนโอบ  แต่ด้วยความแห้งของเปลือกไม้หลังจากลองเคาะดูเบาๆทำให้รู้ว่าด้านในเป็นโพรงกลวง เขาจึงใช้ปลายหอกขุดเป็นช่องเล็กๆเพื่อเข้าไปหลบซ่อน  แล้วจึงย้ายเอากิ่งไม้ที่ตกอยู่ตามพื้นมาอำพรางทางเข้าไว้   

         เมื่อนำเสบียงออกมากินจนอยู่ท้อง เขาก็หลับตาลงนั่งพิงกับผนังไม้ด้านในเพื่อพักผ่อน  ทั้งที่ในมือยังคงกุมหอกเอาไว้หลวมๆ  เพราะต้องรักษาสภาพตื่นตัวเอาไว้ตลอดเวลาไว้เพื่อรับมือกับเหตุเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร  ก็มีเสียงเหยียบใบไม้ของคนกลุ่มหนึ่งดังเขามาในบริเวณนี้ ปลุกให้เหยี่ยนฮ่าวลืมตาขึ้นทันที  เขาอาศัยแสงสว่างจากดวงจันทร์มองออกไปจากช่องเล็กๆเพื่อดูสถานการณ์ด้านนอก

 

กลุ่มทหารบาดเจ็บจำนวนห้าคนเดินประคองกันมาด้วยความเหนื่อยล้า  หนึ่งในนั้นจัดเป็นคนคุ้นเคยสำหรับเหยี่ยนฮ่าว  ซึ่งก็คือหัวหน้าหน่วยแซ่จ้าวที่ไล่ตามเขามาตั้งแต่แรกนั่นเอง  

เพียงแต่ตอนนี้หัวหน้าจ้าวนั้นเหมือนสิ้นสติอยู่และมีแผลขนาดใหญ่เป็นรอยกัดตรงขาขวา เนื้อส่วนนั้นเหมือนถูกคว้านหายไปพร้อมเกราะทหารจนมองเห็นกระดูกสีขาวชัดเจน เขาถูกทหารคนหนึ่งแบกขึ้นหลังมา

 

“ หยุดพักตรงนี้ก่อน  ” ทหารที่เหมือนเป็นผู้นำพูดขึ้น เขาหยุดลงตรงโขดหินไม่ไกลจากจุดที่เหยี่ยนฮ่าว ซ่อนตัวอยู่

         “ พวกเจ้าสามคนยืนคุ้มกันไว้ ข้าจะทำแผลให้หัวหน้าจ้าว”

         “ หลังจากนั้น เราจะพักกันตรงนี้ถึงเช้า”

 

ผ่านไป ครึ่งชั่วโมง 

            หัวหน้าจ้าวค่อยๆลืมตาฟื้นขึ้นมา เท่าที่เขาจำได้ก่อนหมดสติพวกพ้องเขาเหลือเพียงสี่คนเท่านั้นตายไปถึงครึ่งหนึ่ง  ป่านี้มันน่ากลัวจริงๆ  จนเขานึกถึงเรื่องราวในอดีตที่สหายของเขาเล่าให้ฟังก่อนสิ้นลม ซึ่งดูเหมือนจะเป็นความจริงทุกอย่าง 

 

          เมื่อสิบสองปีก่อน  ทหารหนึ่งพันคนรับคำสั่งเข้าไปปฏิบัติภารกิจลับในป่าต้องห้าม  ผ่านไปเพียงคืนเดียว มีทหารรอดออกมาเพียงสามคนถูกพบหมดสติอยู่ตรงเขตหมอกนอกชายป่า  สองคนในนั้นหลังฟื้นตัวก็พุ่งเข้าสังหารกันเองจนตายไปทั้งคู่  

คนเดียวที่เหลือรอดก็คือสหายของเขาที่เหมือนจะกลายเป็นคนบ้า  ในยามกลางวันจะนั่งเหม่อลอย แต่เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าจะกลายเป็นบ้าคลั่งทันที พุ่งเข้าโจมตีทุกคนที่อยู่ในสายตาจนต้องมัดติดไว้กับเตียง 

อาการสหายเขาเป็นเช่นนั้นต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงคืนที่เจ็ด  ในคืนนั้นไม่มีอาการบ้าคลั่งเกิดขึ้น มีเพียงความสงบและดูสับสนเล็กน้อย 

เป็นครั้งแรกที่พวกเราได้พูดคุยกันหลังจากที่สหายเขาถูกช่วยออกมา เพียงแต่เมื่อยามที่เขาถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในป่าต้องห้าม สีหน้าของสหายเขากลับเปลี่ยนไปเป็นซีดขาวไร้สีเลือดเหมือนนึกถึงบางอย่างที่น่ากลัว  

จากที่สหายเขาเล่าออกมา  แม้คำพูดจะดูสับสนไปบ้างแต่ก็พอจับใจความได้  ว่าหลังเข้าไปในป่าได้หกชั่วโมงผ่านการต่อสู้กับสัตว์อสูรมากมาย กองทหารทั้งพันคนมีคนตายไปเพียงร้อยกว่าคนเท่านั้น 

ในเวลานั้นทหารทุกคนต่างก็เริ่มชะล่าใจ ว่าความน่ากลัวของป่าต้องห้ามเป็นเพียงสัตว์ร้ายกับแมลงพิษเท่านั้น ภารกิจครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องยาก

แต่ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป หลังเวลาประมาณยามสาม(เที่ยงคืนถึงตีสาม)ป่าทั้งป่าเหมือนเริ่มเปลี่ยนแปลงเป็นน่าสะพรึงกลัว   เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้อาการของสหายเขาเหมือนจะทรุดลงอย่างรวดเร็ว เสียงเล่านั้นเบาลงมากจนพอที่จะฟังออกเพียง  “ เงา ”  และ  “ชุดสีแดง ” เท่านั้น

หลังจากนั้นเพียงชั่วอึดใจ  ร่างกายของสหายเขาก็สั่นสะท้านอย่างแรง นัยน์ตาค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นขาวขุ่นเหมือนคนตาย เลือดสีแดงไหลออกมาเป็นสายจากทางหูและจมูก  

ใบหน้าค่อยเปลี่ยนไปจนคล้ายกับใบหน้าของซากศพ  แต่มุมปากกลับฉีกยิ้มออกไปจนถึงใบหูคล้ายกับสุนัข 

 

ในเวลานั้นบรรยากาศในค่ายคนป่วยเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก  ความหวาดกลัวแทรกซึมไปถึงกระดูกสันหลัง  ยิ่งเมื่อเขาได้สบตากับใบหน้าเหมือนคนตายนั้น เขารู้สึกเหมือนวิญญาณจะถูกดูดไปจนควบคุมร่างกายไม่ได้ 

ตัวเขาค่อยๆถูกดึงดูดให้เอียงเข้าไปหาใบหน้านั้นเรื่อยๆ มันเหมือนกับการป้อนอาหารให้ปิศาจร้าย  ยิ่งเข้าใกล้เท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งพยายามที่จะต้องการครอบครองร่างกายเขา

 

ในตอนที่จิตใจเขาแทบจะพังทลาย  หอกอันหนึ่งพุ่งเสียบทะลุหัวของสหายเขากระเด็นออกไป  หลังจากนั้นบรรยากาศน่ากลัวก็จางหายไป  เรี่ยวแรงของเขาทยอยกลับคืนมาจนเริ่มขยับตัวได้  

ในตอนนั้นหากมิใช่สหายที่ผ่านมาเข้ามาช่วยไว้ได้ทัน  บางทีเขาคงตายไปแล้ว

 

“ เวลานี้เป็นยามใดแล้ว น้องสาม ” หัวหน้าจ้าวที่นอนพักอยู่บนแท่นหินพยายามยกตัวขึ้นหัน ไปถามทหารที่นั่งอยู่ใกล้เคียงด้วยเสียงแหบพร่า  เพราะเสียลมปราณไปกับการต่อสู้กับเสือปีศาจอย่างดุเดือด ทั้งยังเสียเลือดมากเกินไปจึงทำให้หมดสติไปนาน

“ พี่ใหญ่ท่านดีขึ้นแล้วรึ  ท่านพักผ่อนซักครู่เถิดเดี๋ยวพวกข้าเฝ้ายามให้เอง”

“ ตอนนี้ข้าคิดว่าน่าจะเข้ายามสามนะ”

“ ยาม..สามงั้นรึ ” หัวหน้าจ้าวหน้าซืดลงทันทีแล้วรีบถามต่อ 

“ แล้วมีเหตุการณ์อะไรแปลกๆเกิดขึ้นรึป่าว”

“ ไม่ต้องเป็นห่วงพี่ใหญ่  ข้าให้ทหารคนอื่นออกไปเฝ้าระวังดูรอบๆแล้ว  หากมีสัตว์อสูรหลงเข้ามาเราจะได้รับแจ้งก่อนทันที ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอสูรสงครามสะท้านภพ