ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) นิยาย บท 112

บทที่ 112 อวสาน

ภายในความฝันนิรันดร์กำลังเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ขึ้น

ศึกครั้งนี้เป็นศึกระหว่างจิตใจสองด้านในเทพตนเดียว ความแข็งแกร่งของบรรพชนมนุษย์จะลดลงมากหากพยายามต่อสู้กับเจ้าแห่งแดนฝันนอกร่าง แต่หากเป็นภายในร่างก็จะสามารถดึงพละกำลังออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่

เพราะอย่างไรในนี้ เขาคือฮ่วนเมิ่ง และฮ่วนเมิ่งก็คือเขา

ระหว่างต่อสู้ ทั้งสองพบว่าวิชาของตนเองกับอีกฝ่ายนั้นคล้ายคลึงกันมาก

การต่อสู้ครั้งนี้ส่งผลให้แดนฝันปั่นป่วนไม่ใช่น้อย พวกเขาพลิกน้ำพลิกทะเลปล่อยคลื่นพายุซัดใส่กันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

อสุนีบาตแลบแปลบปลาบ เพลิงแดงแผดเผาท้องฟ้า สายฝนตกกระหน่ำลงมา แสงสว่างอันเจิดจ้าที่ทำลายล้างโลกได้ ฉากมหันตภัยเช่นนี้สลับกันไปมาเป็นระวิงไม่มีหยุด

นอกจากนี้ยังมีกำลังทหารและแม่ทัพเซียนทุกประเภทมาร่วมด้วย และไม่ใช่ว่ากองทัพที่เห็นนี้เป็นภาพมายาไปเสียหมด บางตนเป็นภูตแดนฝันของจริง ทว่าบรรพชนมนุษย์เองก็มีวิชาแบบเดียวกัน กองทัพสองฝ่ายจึงเข้าปะทะกันเสมือนเลือดภายในร่างเข้าห้ำหั่นกันเอง

บรรพชนมนุษย์ดูไม่สะทกสะท้านเท่าไร แต่เจ้าแห่งแดนฝันเป็นต้องรู้สึกเจ็บปวดใจเมื่อเห็นภูตแดนฝันนับไม่ถ้วนล้มลงไปและไม่อาจลุกขึ้นมาอีก เขาจึงเป็นฝ่ายที่หยุดการโจมตีที่เป็นเสมือนการฆ่าตัวตายนี้ก่อน

“หยุดเรียกพวกนั้นมาได้แล้ว! เรื่องนี้เป็นศึกระหว่างเจ้ากับข้า!” เขาคำรามเสียงสิ้นหวัง

บรรพชนมนุษย์กลับเมินเฉย

เจ้าแห่งแดนฝันควบคุมได้เพียงความฝัน ไม่อาจควบคุมบรรพชนมนุษย์ได้ ดังนั้นอีกฝ่ายจึงไร้ความเสียใจใด

นี่คือความแตกต่างระหว่างผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับคนที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไร

ในฐานะผู้เริ่มศึกครั้งนี้ บรรพชนมนุษย์เพียงแค่ต้องหาวิธีที่ดีที่สุดในการเข้าควบคุมร่าง ไม่ต้องสนว่าจะเสียอะไรไปเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เจ้าแห่งแดนฝันนั้นกลับตรงกันข้าม เขาจำเป็นต้องเอาชนะบรรพชนมนุษย์และต้องทำให้มีประสิทธิภาพเสียด้วย ไม่เช่นนั้นสมบัติล้ำค่าทั้งหลายที่เขาสั่งสมมาก็จะสูญสิ้นไป

บรรพชนมนุษย์ไม่สนใจที่เจ้าแห่งแดนฝันขอให้ลดความเสียหายให้เหลือน้อยที่สุดเลย ยังคงทำสงครามภายในร่างต่อไปอย่างตั้งใจ

แท้จริงแล้วบรรพชนมนุษย์กลับยิ่งออกท่าโจมตีสะท้านสะเทือนยิ่งกว่าเดิม

เขาเรียกภูตแดนฝันมาอีก พวกมันกลายร่างเป็นทหารเซียนแล้วพุ่งเข้าใส่เจ้าแห่งแดนฝันทันใด

“บัดซบ! ไอ้บัดซบเอ๊ย!!!”

ภายในแดนฝันนิรันดร์ เจ้าแห่งแดนฝันได้เปลี่ยนร่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีปากขนาดใหญ่ มันอ้าปากกว้างแล้วดูดกลืนภูตแดนฝันทั้งหลายกลับเข้าไป

ทว่ายามที่มันได้เข้าไปก็เกิดระเบิดพลังขึ้นในปากขนาดยักษ์นั่น ปากมายาของเจ้าแห่งแดนฝันถูกระเบิดกระจุยกระจายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

“บัดซบ!” เจ้าแห่งแดนฝันสบถออกมาอีกครั้งด้วยแรงโกรธ

สีหน้าที่บิดเบี้ยวและอาฆาตแค้นของเขาปรากฏให้เห็นเต็มตาในยามที่เขาเอื้อมมือขึ้นไปบนท้องฟ้า ส่งเส้นอสนีบาตเส้นแล้วเส้นเล่าใส่บรรพชนมนุษย์

ทว่าบรรพชนมนุษย์กลับไม่สะทกสะท้าน

“ไม่จำเป็นต้องโกรธถึงขนาดนั้นหรอก เจ้าก็น่าจะรู้ว่าหลายร้อยปีมานี้ข้าศึกษาเจ้าจนทะลุปรุโปร่ง เหตุผลเดียวที่ไม่เคยคิดจะยึดครองร่างเจ้าเป็นเพราะกลัวว่าเทพพวกนั้นจะพบข้า แต่ไม่ใช่เพราะข้าทำไม่ได้”

ว่าแล้วเปลวเพลิงสีนิลก็พุ่งทะยานสู่ท้องฟ้าเบื้องบน ปะทะเข้ากับอสนีบาตที่กำลังฟาดลงมา

เปลวเพลิงอันพลุ่งพล่านกลืนริ้วสายฟ้าไปสิ้น ก่อนจะพุ่งเข้าหาร่างหลักเจ้าแห่งแดนฝัน หุ้มร่างเขาไว้ดั่งเชือกที่ลุกเป็นไฟ

“นี่มันอะไร? เกิดอะไรขึ้น?” เจ้าแห่งแดนฝันคำรามเสียงด้วยความมึนงง เขาตกตะลึงนักที่พบว่าตนเองไม่อาจรู้ได้ว่าเพลิงกาฬเหล่านี้มาจากที่ใด

“พวกนี้คือความเกลียดชัง ความเศร้าโศก และความพยาบาทที่ข้ารวบรวมมาได้ในการเดินทางนับครั้งไม่ถ้วน แล้วนำมันมากลั่นรวมจนจับต้องได้ ใครก็ตามที่ต้องเชือกแค้นจะรู้สึกถึงความสิ้นหวังที่เข้าคืบคลาน ดับไฟปรารถนาที่จะทำการต่อสู้ไป” บรรพชนมนุษย์ตอบเสียงไร้ความรู้สึก

เชือกแค้นเหล่านี้สามารถทำให้จิตใจอันแรงกล้าอ่อนแอลงได้ ปกติแล้วจะไม่ค่อยมีผลต่อเทพเจ้านัก ทว่าภายในแดนฝันพลังจิตคือทุกสิ่งอย่าง การลดจิตวิญญาณในการต่อสู้ย่อมส่งผลทำให้ทั้งกำลังและพลังจิตลดลงเป็นอย่างมาก

หลังถูกมัดด้วยเชือกแค้น พลังของเจ้าแห่งแดนฝันจึงลดลงเรื่อย ๆ

เขากรีดร้องขึ้นอย่างบ้าคลั่ง “ไม่ ไม่นะ! จะเป็นแบบนี้ได้อย่างไร? เป็นไปไม่ได้!”

ตูม!

เจ้าแห่งแดนฝันกลายร่างเป็นต้นไม้ใหญ่สูงตระหง่าน

นี่คือร่างจริงของเขา มีรากดั่งเส้นสายพลังจิต ขยับไหวไปมาในอากาศไม่หยุด ดูดซับพลังจิตโดยรอบทั้งหมดเข้ามา

เจ้าแห่งแดนฝันยังคงไม่ยอมแพ้หมายจะสู้จนถึงที่สุด รากเริ่มขยายจนแทงออกมาจากพื้นเต็มไปทั่วแดน

“นี่คือโลกของข้า! ไม่ว่าใครก็เอามันไปจากข้าไม่ได้!” เจ้าแห่งแดนฝันคำรามลั่น เชือกแค้นที่รัดกายพลันสลาย ส่งผลให้บรรพชนมนุษย์คำรามเสียงในลำคอแล้วก้าวถอยไปหลายก้าว

แม้ภายนอกจะไร้รอยบาดเจ็บ แต่กลิ่นอายของบรรพชนมนุษย์ก็อ่อนลงช่วงจังหวะหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด

เจ้าแห่งแดนฝันพูดถูก โลกใบนี้เป็นของเขา อีกทั้งเขายังอยู่ภายในร่างกายตัวเองด้วย ในฐานะผู้ปกครองโลกแห่งนี้ จำนวนพลังจิตที่เขาสามารถควบคุมได้มากกว่าที่บรรพชนมนุษย์สามารถทำได้เสียอีก

เมื่อเจ้าแห่งแดนฝันระเบิดพลังเต็มขั้นออกมา แค่พลังเพียงอย่างเดียวก็สามารถสยบจิตใจคนให้สิ้นหวังได้แล้ว

แต่กระนั้นในจังหวะนั้นเอง บรรพชนมนุษย์พลันหัวเราะขึ้น “ในที่สุดก็เผยร่างจริงสินะ? กำลังรอจังหวะนี้อยู่พอดีเชียว”

เจ้าแห่งแดนฝันชะงักไป “เจ้ายังมีแผนที่ข้าไม่รู้อีกงั้นหรือ? เป็นไปไม่ได้หรอก”

“ไม่เลย!” พลังบรรพชนมนุษย์พลันระเบิดออก แสงสว่างเจิดจ้าเติมเต็มฟ้า

“พลังต้องห้าม! นี่มันพลังต้องห้าม! เจ้าสามารถควบคุมพลังต้องห้ามนั่นได้ยังไง? เป็นไปไม่ได้!” เจ้าแห่งแดนฝันร้องขึ้นเสียงตื่นตะลึง

แม้จะไม่มีเชือกแค้นรัดพัน แต่ความสิ้นหวังก็คืบคลานเข้าในใจแล้ว

แม้ว่าบรรพชนมนุษย์ครั้งหนึ่งจะเคยเป็นตัวตนอมตะ แต่ก็น่าจะสูญเสียความสามารถในการบ่มเพาะพลังอมตะไปนานแล้ว

แล้วยังสามารถเรียกใช้และควบคุมพลังอมตะได้อย่างไรกัน?

“ข้ามอบให้เขาเอง” ซูเฉินขัดขึ้นเสียงเรียบ

“มอบให้หรือ?” ฮ่วนเมิ่งชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะคำรามเสียงโกรธขึ้น “ไหนว่าเจ้าจะไม่ยื่นมือเข้าแทรกอย่างไรเล่า!”

“ข้าเปล่า เขาขอมันไปจากข้าเอาไว้เสริมกำลังเพื่อรับมือกับท่านโดยเฉพาะก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มขึ้นเสียอีก… เช่นนี้เรียกว่าเตรียมตัวให้พร้อม ไม่ใช่ยื่นมือเข้าแทรก” ซูเฉินตอบกลับหน้าตาเฉย

ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง

บรรพชนมนุษย์ขอพลังอมตะสายหนึ่งมาจากซูเฉินเมื่อครั้งยังอยู่ในอาณาเขตคุน

ในตอนนั้นซูเฉินไม่รู้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงอยากได้

แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว

อีกฝ่ายหมายจะใช้มันเป็นเมล็ดนี่เอง!

ตัวบรรพชนมนุษย์เองไม่สามารถบ่มเพาะพลังอมตะได้อีก แต่พลังอมตะสามารถกลืนพลังศักดิ์สิทธิ์และเติบโตขึ้นได้ แม้จะคุมพลังอมตะใหม่มาใช้เองไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอแค่กลืนพลังศักดิ์สิทธิ์ได้ก็พอ

เมื่อเจ้าแห่งแดนฝันเผยร่างจริง จังหวะนั้นจะเป็นช่วงเวลาที่เขาแกร่งที่สุดและอ่อนแอที่สุดในคราวเดียวกัน

พลังอมตะของบรรพชนมนุษย์พุ่งทะยานสะท้านสะเทือนแดนฝัน กลืนกินพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดเข้าไป

ปกติแล้วต้องใช้เวลาระยะหนึ่งกว่าจะเกิดกระบวนการเช่นนี้

แต่ทั้งสองต่อสู้กันอยู่ในแดนฝัน ทุกอย่างในนี้คือมายา จินตนาการทั้งหลายย่อมเป็นไปได้

พลังอมตะเพียงเสี้ยวเดียวในนี้ก็มีพลังมหาศาล ยิ่งมีบรรพชนมนุษย์เป็นแรงหนุน แค่เศษเสี้ยวเดียวก็เติบใหญ่ด้วยความรวดเร็วจนแทบจะคุมไม่ได้

ในแดนฝันนิรันดร์สีสันฉูดฉาดละลานตาพลันเต็มไปด้วยแสงขาวเจิดจ้า กลืนทุกสิ่งอย่างที่แสงสาดส่องไปถึงเข้าไป

“ม่ายยยยย!!!” เจ้าแห่งแดนฝันร้องเสียงโหยหวน แต่ไม่ว่าต้นไม้ต้นนี้จะโบกกิ่งของมันอย่างไร ก็ไม่อาจหยุดพลังอมตะได้เลย

มวลพลังอมตะขยายมาถึงขอบโลกมายา เสียงร้องคำรามและโหยหวนของเจ้าแห่งแดนฝันก็พลันหยุดไป

ในแดนฝันนิรันดร์ของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยพลังอมตะ หรือก็คือเขาได้พ่ายแพ้ต่อตัวตนที่ซ่อนเร้นอยู่ แดนนี้ถูกทำลายโดยสมบูรณ์แล้ว

เขาตายแล้วนั่นเอง

แสงสีขาวเริ่มจางลง ทว่าแดนฝันไม่ได้เต็มไปด้วยสีสันหลากสีอีกต่อไป มันกลายเป็นสีเทา สีดำ ดูรกร้าง

บรรพชนมนุษย์ถอนหายใจเหนื่อยล้าออกมา

“จบแล้ว มันจบแล้วจริง ๆ ”

“ยังหรอก ข้างนอกยังมีเทพเหลืออยู่อีกห้าองค์” ซูเฉินเอ่ย

“นั่นไม่สำคัญแล้ว ศึกครั้งนี้รู้ผลแพ้ชนะแล้วล่ะ ชะตากรรมพวกเขาจบแล้ว” บรรพชนมนุษย์ตอบกลับ

“ท่านพูดถูก”

ภายในแดนต้นกำเนิด

ศึกครั้งใหญ่กับเหล่าทวยเทพยังคงดำเนินอยู่

พระแม่ เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ เทพอนารยะ เทพดาบเพลิง และเจ้าแห่งอสูรกำลังต่อสู้เอาชีวิตรอดอย่างสุดกำลัง

ในที่สุดเวลาที่รอคอยมานานก็มาถึง

แต่ไม่นานพวกเขาก็พบเรื่องน่าผิดหวังว่าแดนต้นกำเนิดเปลี่ยนไปมาก เผ่าพันธุ์ที่พวกเขาเคยควบคุมใช้ประโยชน์ได้ ตอนนี้กลับเจริญก้าวหน้าจนถึงจุดที่สามารถต่อต้านผองเทพได้แล้ว กระบี่บินและพลังอมตะทั้งหลายสร้างแรงกดดันให้ไม่น้อยทีเดียว

พวกผู้เป็นอมตะจะกลับมา!

เป็นเพียงความคิดเดียวที่พวกเขาคิดได้

พลังต้องห้ามที่พวกเขาเกรงกลัวมานานหลายปี ในที่สุดวันนี้ก็เป็นฝ่ายได้เปรียบจนได้

แม้พลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดของพวกเขาจะรวมกันจนเติมเต็มฟ้าได้ และแม้ว่าพวกเขาจะเป็นเทพเจ้า แต่ “ผู้เป็นอมตะ” ทั้งหลายที่กำลังพุ่งเข้ามาต่างก็ซัดวิชาเข้าใส่อย่างไร้ความเกรงกลัว

กองทัพที่ถูกเรียกมาโดยบรรพชนมนุษย์ในแดนฝันอาจเป็นของปลอม ทว่าล้วนเป็นนักรบที่แท้จริงทั้งสิ้น

พวกเขาเดินอยู่บนหมู่เมฆ ถืออาวุธพลังทำลายล้างสูง ปลดปล่อยวิชาอมตะออกมา เมฆาพลันแยก

เทพเจ้าใช้ทุกวิชาที่มีอยู่จนหมดสิ้น เปลี่ยนทั่วทั้งโลกาให้กลายเป็นลานศึก กระทั่งแสงตะวันและจันทรายังดูอ่อนแรงเมื่อเทียบแสงกับพลังอำนาจนี้

ฟ้าว! ฟ้าว! ฟ้าว!

คลื่นแสงสีขาวเจิดจ้าระลอกแล้วระลอกเล่าพัดผ่านเทพเจ้า กระทั่งแสงของเทพธิดาแห่งดวงจันทร์เทียบกันแล้วยังอ่อนกว่า

ทันใดนั้นใบหน้าดุดันที่เต็มไปด้วยแรงสังหารก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าซีดขาวของนาง “มนุษย์โอหังเอ๋ย! เจ้ากล้าใช้ร่างกายอันต่ำช้าเช่นนี้มาหยุดพวกเราเทพเจ้าอย่างนั้นหรือ? ลิ้มรสชาติแรงโกรธของเทพเจ้าหน่อยเป็นไร!”

พูดจบก็เกิดแรงพลังผันผวนขึ้นบนฟ้า

ราวกับว่ากาต้มน้ำพลันเดือดขึ้นมาทันใด คลื่นพลังงานรุนแรงโหมกระหน่ำพุ่งออกมา ทำให้บริเวณโดยรอบร้อนขึ้น

อย่างไรแสงจันทร์ก็คือแสงสะท้อนมาจากแสงอาทิตย์อยู่แล้ว

ส่วนมากแล้วแสงจันทร์ให้ความรู้สึกเยือกเย็น

แต่เมื่อเทพธิดาแห่งดวงจันทร์พิโรธขึ้นมาเมื่อไหร่ แสงจันทร์ก็จะกลับมารุ่มร้อนดังเดิม

รู้สึกราวกับว่าตะวันทั้งดวงพลันหล่นลงมาอย่างไรก็อย่างนั้น ทำให้มันสั่นสะเทือนภายใต้อำนาจโกรธของ เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ มันร้อนรุ่มเสียจนรู้สึกราวกับว่าโลกทั้งใบกำลังถูกอบทั้งเป็น

ทุกคนในสนามรบรู้สึกได้ถึงคลื่นความร้อนที่พัดผ่านพวกเขาไปพร้อมกัน แต่ความร้อนไม่ได้เกิดขึ้นภายนอก มันเกิดขึ้นภายใน ทุกสิ่งอย่างในกายร้อนดั่งไฟ ทำให้แทบไม่สามารถปกป้องตนเองได้เลย

แสงสีขาวร้อนราวกับจะบิดเบือนพื้นที่ต่อสู้ กระทั่งพลังอมตะยังไม่อาจระงับโทสะนี้ได้ คนทั้งหลายจึงได้แต่ใช้กระจกใจปกป้องกาย แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายตัวมาก

ทหารคนแล้วคนเล่าร้องลั่นขึ้นเมื่อทนไม่ไหวอีกต่อไป เมื่อร่างกายถูกไอร้อนครอบงำก็เริ่มร่วงลงจากฟ้า กระทั่งหลี่หวู่อี้ เจียงจูเซิง และคนอื่น ๆ ร่วมมือกันยังไม่อาจสกัดการโจมตีนี้ได้

พลังอำนาจที่แท้จริงของเทพช่างน่ากลัวเสียจริง!

แต่จังหวะนั้นเองที่มีร่างหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า ก่อนจะกลายร่างเป็นมังกรขนาดใหญ่ พ่นไฟลูกหนึ่งใส่เทพธิดาแห่งดวงจันทร์

คือผู้ถือครองสายเลือดมังกรสุริยะ กู่ชิงลั่วนั่นเอง

ใช้ไฟล้างไฟ!

กู่ชิงลั่วกลั่นพลังต้นกำเนิด พลังอมตะ เจตจำนง และพลังจากสายเลือดทั้งหมดที่มีอยู่ในร่างรวมเป็นการโจมตีเพลิงนั้น น่าตกใจไม่น้อยที่ยามมันพุ่งทะยานออกไป ก็ได้ยินเสียงราวกับฟ้าคำรามทีเดียว

ทันใดนั้นก็เกิดรอยแยกขึ้นบนน่านเวหา

ความร้อนบนสนามต่อสู้พลันลดลงในพริบตา

ตอนนั้นเองที่ทุกคนสบโอกาส ซัดการโจมตีทั้งหลายเข้าใส่เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ทันที

แม้จะถูกนางเผาจนตาย อย่างน้อยก็ขอใช้พลังที่เหลืออยู่โจมตีนางก่อนเถอะ!

ทหารแต่ละคนล้วนมีความคิดเดียวกัน พากันโคจรพลังภายในร่างจนถึงขีดสุด

ตูม!!!

คลื่นแห่งการทำลายล้างอันบริสุทธิ์พุ่งออกมา ปะทะเข้ากับเทพเจ้าทั้งห้าองค์ด้วยความรุนแรงที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน กระทั่งเกราะศักดิ์สิทธิ์ที่ทวยเทพเรียกขึ้นมาเพื่อปกป้องกายยังถูกซัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในคราวเดียว

“อ๊าก!” เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดเมื่อพลังอมตะทำลายเกราะนางลงได้ หนำซ้ำมันยังรบกวนพลังจิตและส่งผลกระทบต่อนางไม่น้อย ชั่วพริบตาเดียว ไอร้อนที่แผ่ออกจากกายนางก็ลดลงอย่างมาก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)