ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) นิยาย บท 126

บทที่ 126 การจู่โจมแบบฉับพลัน (2)

อุกกาบาตที่ลุกเป็นไฟนั้นระเบิดได้ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ ความแข็งแกร่งของมันเพียงพอที่จะฉีกผ่าภูเขา และยังมีความเป็นไปได้สูงที่ทั้งภูเขาจะถูกบดขยี้ หากโดนอุกกาบาตหลายลูกร่วงลงมาปะทะตรง ๆ ต่อให้มีเกราะป้องกันขวางอยู่ก็ตาม

แต่ทว่านั้นไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด

หลังจากที่อุกกาบาตตกลงมา เข็มเหล็กหนานับไม่ถ้วนพุ่งกระจายออกมาราวกับสายฝนที่กระหน่ำ

หนามเม่นเข็มโลหิต!

มีสัตว์อสูรชนิดหนึ่งจากเขาเมฆา รู้จักกันในชื่อเม่นโลหิตฟ้า หนามแหลมของมันมันมีที่มีพิษร้ายแรงยิ่ง เมื่อยามตกอยู่ในอันตรายมันจะพองตัวขึ้น แล้วสลัดหนามของมันออกไปในอากาศราวกับห่าฝน ภายใต้ฝนเข็มนี้ ต่อให้มีถึง 9 ชีวิตก็ยังยากที่จะรอด

นี่คือหนามเม่นเข็มโลหิต

คลื่นหนามเม่นเข็มโลหิตพุ่งกระหน่ำเข้ามาแน่นขนัดประดุจฝนลูกศรไม่มีที่สิ้นสุด ฝนเข็มมุ่งหน้าสังหารอย่างไม่หยุดยั้ง

อย่างไรก็ตาม นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด

ต่อจากหนามเม่นเข็มโลหิต เงาร่าง 4 ร่างพุ่งออกมาจาก 4 ทิศ บินตรงเข้าหาหอสังเกตการณ์อย่างพร้อมเพรียง คนหนึ่งยิงแสงดาบที่ดูราวกับแม่น้ำสีเงินพาดผ่านอากาศออกมา อีกคนแทงหอกออกมาสร้างเงามังกรขึ้น อีกคนหวดขวานรบอันยักษ์ลงมาเหมือนจะพยายามเอาชนะสวรรค์และปฐพี คนสุดท้ายฟาดฝ่ามือที่รุนแรงออกมามันร้อนแรงดุจไฟป่าในหน้าแล้ง

ด่านทะลวงลมปราณ!

ผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณทั้ง 4 โจมตีเกราะป้องกันที่ล้อมรอบหอสังเกตการณ์พร้อม ๆ กัน

อุกกาบาตเพลิง หนามเม่นเข็มโลหิต และการโจมตีเข้ามาพร้อมกันของผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณ ทำให้บุคคลสำคัญทั้งหลายบนหอสังเกตการณ์เกิดความหวาดกลัว พวกเขากำลังเผชิญเข้ากับภัยคุกคามจากการถูกกวาดล้างที่ร้ายแรงเข้าให้แล้ว !

ฆ่า!

อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาวิกฤตนั้น จ้าวอวี้กลับทำเพียงแค่ยกมือขึ้นเบา ๆ

มือของเขากลายเป็นหยกสีใสดุจคริสตัล

จากนั้นเขาก็ผลักฝ่ามือออกไปในอากาศ

เวลาดูเหมือนจะหยุดนิ่งลงราวกับถูกแช่แข็ง อุกกาบาตที่ลุกเป็นไฟทั้งหมดลอยค้างกลางอากาศ

เมื่อมือสีหยกโบกมือเบา ๆ อุกกาบาตที่ลุกเป็นไฟนับร้อยก็หันและพุ่งเปลี่ยนทิศทางไป ทิ้งไว้เพียงควันไฟเป็นสายไว้ข้างหลัง กลุ่มควันและอากาศที่อุกกาบาตเคลื่อนผ่านนั้นเกิดการปั่นป่วนอย่างรุนแรง จนส่งให้หนามเม่นเข็มโลหิตมากมายนับไม่ถ้วนกระเด็นออกไป กวาดม้วนคลื่นเข็มลงสู่พื้นในทันที

จังหวะเดียวกันนั้น การโจมตีของผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณทั้ง 4 ก็พุ่งเข้ามาเช่นกัน ดาบ หอก ขวานและฝ่ามือที่ทรงพลังปะทะลงมาพร้อมด้วยจิตสังหารอันรุนแรง

ในที่สุดจ้าวอวี้ก็เคลื่อนไหว

ร่างของเขาสั่นไหวและกลายเป็นแสงสีฟ้าในพริบตา มือสีหยกของเขาโบกไปมา 4 ครั้งรวด

รังสีดาบกระจายออก เงาหอกสูญสลาย ขวานยักษ์แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ฝ่ามือเพลิงหมอดดับสนิท

ผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณทั้ง 4 กระเลือดออกมาจากปากและตกลงมาจากอากาศ

มือสังหารทั้ง 4 ถูกจัดการได้อย่างง่ายดายภายใต้มือของจ้าวอวี้

“เจ้าคิดจะไปไหน!” ร่างของจ้าวอวี้สว่างวาบราวกับสายฟ้า แสงสีฟ้าไล่ตามติดพวกเขาไป

เมื่อผู้ใดไปถึงด่านสู่พิสดาร ผู้นั้นก็จะสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วเทียบเท่าแสง โดยไม่ต้องใช้ทักษะการกำเนิดใด ๆ เช่นเดียวกับการบินที่แท้จริง

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่จ้าวอวี้ออกไปจากหอสังเกตการณ์ เมฆบนท้องฟ้าก็ได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ไปโดยฉับพลัน มันได้กลายเป็นยักษ์สีแดงพุ่งเข้าหาหอสังเกตการณ์

ยังคงมีแขกคนสำคัญมากมายอยู่ที่ด้านล่าง แม้ว่าพวกเขาจะไม่อ่อนแอ ทว่าจ้าวอวี้ก็รู้ว่าพวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของยักษ์เมฆสีแดงนี้ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะจ้าวอวี้รู้ที่มาของยักษ์เมฆสีแดงเป็นอย่างดี

เมื่อเห็นสถานการณ์ทั้งหมด จ้าวอวี้ก็กัดฟันกล่าวชื่อหนึ่งขึ้นมา “หลงปาต้วน ไอ้เจ้าคนดื้อด้าน ! ”

ในขณะที่พูด จ้าวอวี้ก็กระแทกฝ่ามือของเขาออกไปยังยักษ์เมฆสีแดง

มือหยกของเขาปะทะลงบนร่างของยักษ์เมฆสีแดง ในทันใดนั้นแสงที่เป็นจุด ๆ ก็ส่องสว่างขึ้น

หลังจากนั้นครู่หนึ่งยักษ์เมฆสีแดงที่น่ากลัวก็สลายหายไปภายใต้การโจมตีที่รุนแรงของจ้าวอวี้

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ยักษ์เมฆสีแดงถูกลบล้าง ผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณทั้ง 4 ก็ถือโอกาสนี้หลบหนีไป

“ฮ่า ๆ ๆ สมกับที่เป็น 1 ใน 18 คานทองคำของสถาบันมังกรซ่อนเร้นอย่างแท้จริง ครานี้ข้าต้องการที่จะสังหารบุคคลสำคัญบางคน แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถทำได้เพราะการป้องกันของเจ้า แต่ถึงอย่างนั้น ข้าก็ดีใจมากที่สามารถสร้างปัญหามากมายให้แก่เจ้าได้” เสียงนี้ดังก้องขึ้นไปทั่วเทือกเขาก่อนจะค่อย ๆ สลายไป

จนถึงเวลานี้ทุกคนถึงเพิ่งจะฟื้นคืนสติกลับมาได้

ความรู้สึกในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้นราวกับว่าพวกเขาเดินทางไปสู่ความตายและกลับมาในชั่ววูบ

อุกกาบาตเพลิงที่จ้าวอวี้ชิงการควบคุมมาใช้ไม่สามารถจัดการกับหนามเม่นเข็มโลหิตได้อย่างหมดจด ยังคงมีผู้ที่โดนการโจมตีของพวกมันอยู่ เมื่อจ้าวอวี้เห็นเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกไม่เต็มใจที่จะละทิ้งคนพวกนั้นไว้เบื้องหลังเช่นนั้น ดังนั้นเขาจึงหยิบยาเอาออกมา “ละลายในน้ำแล้วเอาให้ผู้ได้รับบาดเจ็บดื่ม มันจะช่วยรักษาพิษให้หายขาด”

เจ้าหน้าที่ของสถาบันมังกรซ่อนเร้นปฏิบัติตามคำสั่งของจ้าวอวี้ทันที

บรรดาผู้ที่มาจากตระกูลชั้นสูงส่วนใหญ่ต่างก็กำลังหวาดกลัว ทว่าก็ยังมีบางคนที่ถามออกมาอย่างกล้าหาญ “ท่านจ้าวอวี้ ได้โปรดบอกพวกเราทีว่าผู้ที่จู่โจมเข้ามาเป็นใครกัน?”

“อารามนิรันดร์ กลุ่มผู้เหลือรอดของเผ่าอาร์คาน่า ไม่คุ้มที่จะกล่าวถึง” จ้าวอวี้ตอบ

อารามนิรันดร์ถือเป็นที่รู้จักกันดีใน 7 อาณาจักรของเผ่ามนุษย์ เมื่อได้ยินชื่อนี้ทุกคนก็เข้าใจ ไม่มีใครสงสัยว่าเหตุใดอารามนิรันดร์ถึงได้ทำเช่นนั้น เพราะองค์กรก่อการร้ายไม่ต้องการเหตุผลในการลงมือทำสิ่งใด

กลับกันเป็นจ้าวอวี้ที่รู้สึกว่ามีบางอย่างแฝงอยู่เบื้องหลังของการจู่โจมครั้งนี้

แม้ว่าอารามนิรันดร์จะเป็นองค์กรของเผ่าอาร์คาน่าโบราณที่มีประวัติมานานกว่าหมื่นปี แต่ในความเป็นจริงเมื่อเวลาผ่านไปเป้าหมายของพวกเขาก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ยกเว้นพวกหัวโบราณที่ดื้อรั้นเพียงไม่กี่คน ชาวอาร์คาน่าส่วนใหญ่ก็ได้ถือว่ากิจกรรมของผู้ก่อการร้ายเหล่านี้เป็นเพียงธุรกิจเท่านั้น

พูดง่าย ๆ ก็คือพวกเขาได้กลายเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยแรงจูงใจภายนอกมากกว่าอุดมคติไปแล้ว

แต่พวกเขาจะได้ประโยชน์อะไรจากการโจมตีสนามสอบของสถาบันมังกรซ่อนเร้นกัน ?

จ้าวอวี้ไม่เข้าใจ

การจู่โจมแบบฉับพลันที่น่าประหลาดใจนี้ ดูไม่เหมือนกับรูปแบบการโจมตีที่มีไหวพริบเช่นปกติของอารามนิรันดร์เลย แม้ว่าการโจมตีทั้ง 3 ระลอกจะดูรุนแรงก็จริง แต่ก็ไม่น่าประทับใจมากนักเมื่อพิจารณาจากเรื่องที่ว่าอีกฝ่ายรู้แน่นอนดีอยู่แล้วว่าตัวเขา จ้าวอวี้เองก็อยู่ที่นี่

ผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณทั้ง 4 ต่างพากันหลบหนีหลังจากพ่ายแพ้ แม้แต่หลงปาต้วนเองก็ถอยออกไปทันทีหลังจากที่ลงมือไปเพียงครั้งเดียว เห็นได้ชัดว่าเขาพยายามที่จะโจมตีอย่างชัดเจน ทว่าวัตถุประสงค์หลักนั้นกลับเป็นการปกป้องผู้ใต้บังคับบัญชา และบังคับให้จ้าวอวี้ถอยออกไป กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ จุดสำคัญของปฏิบัติการนี้ไม่ได้อยู่ที่วิธีการโจมตีอย่างมีประสิทธิภาพ แต่อยู่ที่วิธีหลบหนีอย่างมีประสิทธิภาพ …

พวกเขาสร้างความปั่นป่วนขนาดนี้ โดยราวกับไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกเหนือจากเพื่อให้หลบหนีออกไปได้ง่ายขึ้น?

จ้าวอวี้พูดไม่ออกไปเล็กน้อย

จ้าวอวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดด้วยความกังวลเล็กน้อยว่า “เพิ่มรัศมีจอจับภาพของเรา และดูว่ามีการเคลื่อนไหวอื่นใดเกิดขึ้นหรือไม่ นอกจากนี้ตรวจสอบความสูญเสียและดูว่ามีบุคคลสำคัญเสียชีวิตหรือไม่ด้วย”

“เรียนนายท่าน เราได้ทำการจัดส่งคนไปเรียบร้อยแล้ว กองพันที่หกของท่านก็ได้ออกไปแล้วเช่นกัน ยามนี้เรากำลังนับยอดผู้ได้รับผลกระทบ ส่วนใหญ่แล้วจะได้รับบาดเจ็บและแทบไม่มีผู้เสียชีวิต”

“มีเพียงคนรับใช้เพียงคนเดียวที่เสียชีวิตเนื่องจากถูกแทงด้วยหนามเม่นเข็มโลหิตมากเกินไป มันเสียชีวิตก่อนที่เราจะเข้าไปช่วยได้ทัน ส่วนเหล่าตระกูลชั้นสูงต่างก็ล้วนมีวิธีการลับในการต่อต้านพิษเป็นของตน หลังจากดื่มยานั้น มันก็ไม่มีอาการข้างเคียงใดอื่นอีก และนอกจากนี้ มันก็ยังมีส่วนหนึ่งของการก่อตัวของพลังต้นกำเนิดที่ได้ถูกรบกวนอีกด้วย”

“ยังไง?”

“จุดต้นกำเนิดบางจุดได้รับความเสียหาย และไม่สามารถฉายภาพได้ชั่วคราว อย่างไรก็ตามมันไม่ปัญหาที่ใหญ่นัก เราสามารถแก้ไขได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการสอบ เพียงแต่ในช่วงสั้น ๆ เราจะไม่สามารถสังเกตความเคลื่อนไหวของผู้เข้าสอบได้”

“หือ? จุดต้นกำเนิดเหล่านั้นเกิดความเสียหายอย่างไร?”

“ดูเหมือนว่าจะมีอุกกาบาตเพลิง 2-3 ลูกที่บังเอิญพุ่งเข้าหาพวกมัน แต่ก็ยังคงมีความเป็นไปได้อื่น ๆ เช่นกัน”

“ส่งคนไปแก้ไขอย่างเร่งด่วน”

“ครับท่าน!”

จ้าวอวี้กลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง ราวกับมีเขาวงกตแห่งความสงสัยปรากฏขึ้นในใจของเขา

มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ? หรือมีจุดมุ่งหมายที่แน่นอน?

หรือเป็นไปได้ว่าในหมู่ผู้สมัครสอบอาจจะมีคนจากอารามนิรันดร์อยู่ และพวกเขาก็พยายามช่วยคนผู้นั้นโกงการสอบ?

นักเรียนของสถาบันมังกรซ่อนเร้น ล้วนแต่กลายเป็นบุคคลสำคัญในระดับหนึ่งหลังจากที่สำเร็จการศึกษาไป หากอารามนิรันดร์ต้องการฉวยโอกาสนี้ เพื่อส่งสมาชิกของพวกเขาเข้ามาสัก 2-3 คน มันก็นับได้ว่าดูสมเหตุสมผลอยู่

แม้ว่าจะดูมากเกินไปที่จะใช้คนมากมายเช่นนี้ เพียงเพื่อให้แน่ใจว่าผู้สมัครคนหนึ่งจะผ่านการทดสอบ แต่ปลอดภัยไว้ก่อนก็ย่อมดีกว่า

วิธีการที่จะหาตัวคนผู้นั้นมันง่ายมาก ในช่วงเวลาเช่นนี้ ใครก็ตามที่คะแนนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คนผู้นั้นย่อมตกเป็นผู้ต้องสงสัย

ถึงจอแสงจะใช้งานไม่ได้ชั่วคราว แต่จอที่แสดงผลการจัดอันดับนั้นไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด เพราะฉากสุดท้ายที่เขาได้เห็นจากจอแสง จึงทำให้จ้าวอวี้ให้ความสนใจและมองไปที่ชื่อของซูเฉินเป็นครั้งแรก ในฐานะหนึ่งเดียวที่เข้าสู่รายชื่อ 100 อันดับแรก โดยที่ไม่มีสัญลักษณ์ของสายเลือด อย่างไรก็ตามหลังจากการจู่โจมอย่างฉับพลันนี้เกิดขึ้น คะแนนของซูเฉินก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นอีก

ในความเป็นจริง ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาคะแนนของซูเฉินนั้น แทบจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)