บทที่ 127 เนินกลบวิญญาณ (1)
เมื่อมาถึงกองเศษหินผา ซูเฉินก็เริ่มคำนวณเวลาอย่างเงียบ ๆ
อีกไม่นานก็จะถึงเที่ยงคืนแล้ว
หลังเที่ยงคืนไปวันใหม่จะมาเยือน หรือก็คือวันที่ 22 ของเดือนที่ 7 ช่วงเวลาที่เนินกลบวิญญาณจะเปิดออก
ในที่สุดแสงดาวก็เริ่มส่องสว่างขึ้นในท้องฟ้า
นั่นคือซวนเจียวซิง (ซิง 星 – ดาว)
ดาวดวงนี้ปรากฏเฉพาะในวันที่ 22 ของเดือนที่ 7 วันนี้จึงถูกเรียกอีกอย่างว่า วันซวนเจียว
การปรากฏตัวของซวนเจียวซิงนั้นแม่นยำเสมอ
แม่นยำอย่างยิ่ง นาฬิกาบอกเวลาอาจเกิดข้อผิดพลาด แต่ซวนเจียวซิงไม่มีทางเป็นเช่นนั้น
ดังนั้นหากเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาบอกเวลาชี้ว่ามันยังไม่ถึงวันซวนเจียว แต่กลับมีการปรากฏตัวของซวนเจียวซิง มันก็เท่ากับเป็นการบ่งบอกชัดเจนว่าวันนั้นมาถึงแล้ว – ดังนั้นพวกเขาจึงควรที่จะปรับอุปกรณ์บอกเวลาของตนเสียใหม่
เมื่อเห็นซวนเจียวซิงปรากฏขึ้น ซูเฉินก็ไม่ได้ลงมือเคลื่อนไหวในทันที แต่กลับเฝ้ารออยู่ครู่หนึ่ง
เมื่อเวลาผ่านไป แสงดาวของซวนเจียวซิงก็สว่างมากขึ้นเรื่อย ๆ
ฉากแปลก ๆ เริ่มเผยโฉมออกมาต่อหน้าของซูเฉิน
แสงดาวจากท้องฟ้าเริ่มโปรยปรายลงมาบริเวณไม่ไกลจากด้านหน้าซูเฉินนัก ก่อตัวเป็นวงกลมหมอกจาง ๆ ปกคลุมไปกว่าครึ่งหุบเขาเล็ก ๆ นี้ ด้ายจำนวนหนึ่งพันไขว้กันไปมาในวงกลมกลายเป็นค่ายกลที่ดูซับซ้อนอย่างมาก
หลังได้เห็นเช่นนั้น ซูเฉินก็ยืนยันอย่างเงียบ ๆ ว่าผู้อาวุซางพูดถูก ตามที่อีกฝ่ายคาดไว้ สถานที่แห่งนี้นั้นเต็มไปด้วยกับดักที่คดเคี้ยว ส่วนที่ใต้ดินก็มีค่ายกลขนาดใหญ่ซึ่งสามารถกระตุ้นพลังของดวงดาวได้กำลังได้รับการปกป้องอยู่ จุดที่แสงดาวตกลงมาคือที่ตั้งของรูปแบบที่ว่านี้ และก็มีแต่ต้องอาศัยแสงดาวเท่านั้น ที่ทำให้การก่อตัวของพลังต้นกำเนิดสามารถปรากฏขึ้นบนค่ายกลขนาดใหญ่ดั่งเช่นในตอนนี้ !
นี่เป็นความคิดสร้างสรรค์ของผู้ที่ตั้งกลไกป้องกัน ทุก ๆ พันปีมันจะดึงดูดแสงของซวนเจียวซิงลงมา ในช่วงเวลานั้น ตราบใดที่มีผู้เชี่ยวชาญค่ายกลทำตามกฎของค่ายกลได้ คนผู้นั้นก็สามารถปลดค่ายกลออกได้อย่างง่ายดาย และเปิดให้หลุมฝังศพนี้ได้พบแสงสว่างของดวงอาทิตย์อีกครั้ง
แน่นอนว่าซูเฉินนั้นไม่ได้เข้าใจรูปแบบของค่ายกลแต่อย่างใด ทว่าซางเจินได้บอกวิธีปลดล็อคกลไกทั้งหมดให้เขามาแล้ว
เมื่อเห็นค่ายกลนี้แล้ว ซูเฉินก็เดินผ่านมันตรงไปยังสถานที่ที่มีสัญลักษณ์สามเหลี่ยมลึกลับ และดึงบางอย่างออกมาจากแหวนต้นกำเนิดของเขา มันคือแท่งเหล็กกลวงแท่งหนึ่ง เด็กหนุ่มกำมันแน่ ก่อนจะแทงแท่งเหล็กลงไปบริเวณจุดตัดของสามเหลี่ยมจนกระทั่งแรงต่อต้านหายไป
ต่อมาซูเฉินก็มุ่งหน้าไปที่ค่ายกลอื่นต่อ แต่คราวนี้เขาดึงเหล็กแผ่นเล็ก ๆ ออกมาและฝังลงไปในดินแทน ก่อนจะตรงไปหาค่ายกลอื่นอีกครั้งและเทเลือดชนิดพิเศษลงไปบนพื้น …
เขาเดินวนไปวนมารอบค่ายกลทั้ง 36 จุดและปรับแต่งมันทั้ง 36 จุด ก่อนที่จะดึงเอาแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดออกมาวางไว้ใต้ดินลึกไม่ถึงจั้งที่จุดกึ่งกลาง
เปิดใช้งาน !
แสงลึกลับทอประกายขึ้นมาจากพื้นดิน เมื่อแสงกระทบลงบนรูปแบบการก่อตัวของพลังต้นกำเนิด ค่ายกลแต่ละอันก็เริ่มปลดปล่อยแสงอันทรงพลังออกมา
แสงเหล่านั้นส่องประกายเจิดจ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อซูเฉินเห็นเช่นนั้น เขาก็เริ่มที่จะกังวลเล็กน้อย ความสับสนวุ่นวายขนาดนี้จะดึงดูดผู้อื่นเข้ามาหรือไม่?
ในที่สุดแสงประกายเจิดจ้านี้ก็เริ่มจางหายไป
และในทันใดนั้น พื้นดินก็เริ่มสั่น
การสั่นสะเทือนของมันรุนแรงเสียจนทำให้ซูเฉินเกือบจะเชื่อว่านั่นคือแผ่นดินไหว หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าภูเขารอบ ๆ ตัวเขานั้นยังคงดูเป็นปกติดี และมีเพียงพื้นรอบ ๆ เท้าของเขาเท่านั้นที่สั่นสะเทือน
ต่อมา ซูเฉินก็เห็นว่า ณ ที่ใจกลางของค่ายกลใหญ่ที่เขาวางแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดเอาไว้ ได้เกิดรอยยุบขนาดใหญ่ขึ้นอย่างลึกลับ หลุมสีดำสนิทได้ปรากฏขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ
หลังจากที่เห็นช่องทางเข้าเปิดออก ซูเฉินไม่ได้เข้าไปในทันทีแต่อย่างใด เขากลับหยิบขวดยาออกมาดื่ม จากนั้นก็หยิบผ้าชนิดพิเศษออกมาห่อตัวให้แน่นตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้แต่ดวงตาของเขาก็ถูกปิดไว้ด้วยแผ่นผลึกแก้วอย่างสมบูรณ์ ก่อนที่ซูเฉินจะเข้าไปด้านใน
ที่เนินกลบวิญญาณนั้นมีดอกซากวิญญาณขึ้นอยู่ พวกมันเป็นต้นกำเนิดของพิษร้ายแรง
แม้ว่าอารามนิรันดร์จะให้ยาแก้พิษแก่เขามาแล้ว แต่ซูเฉินก็ไม่คิดที่ฝากความหวังทั้งหมดไว้กับอีกฝ่าย
หลังจากแน่ใจแล้วว่าปลอดภัย ซูเฉินก็ยกตะเกียงผลึกแก้วขึ้นและก้าวเข้าไปในหลุม ตะเกียงผลึกแก้วอันเก่าของซูเฉินนั้นแตกเป็นเสี่ยง ๆ ไปแล้ว อันในมือนี้เขาได้รับมันมาจากผู้เข้าสอบคนอื่น
หลุมนั้นลึกมาก ซูเฉินต้องใช้เวลามากทีเดียวกว่าจะเดินลงไปถึงจุดล่างสุด อย่างไรก็ตามสิ่งที่ปรากฎให้เห็นอยู่ตรงหน้าของเขา คืออุโมงค์คดเคี้ยวสีดำสนิท
หลังจากเดินไปตามอุโมงค์อยู่พักหนึ่ง ในที่สุดซูเฉินก็หลุดออกมาและได้พบว่าเขามาถึงห้องโถงกว้างแล้ว
เด็กหนุ่มไม่ได้เข้าไปในห้องโถงใหญ่ทันที แต่เขากลับเอาแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดออกมาและโยนเข้าไปข้างใน
ทันทีที่แผ่นรูปแบบต้นกำเนิดเข้าไปในห้องโถงใหญ่ แสงสีแดงสุกใสก็ได้ส่องออกมา
นั่นหมายความว่าพลังต้นกำเนิดในห้องนี้ มีความเข้มข้นมากจนถึงระดับดาราแดง
สิ่งนี้บ่งชี้ถึง 2 สิ่ง
ประการแรก การไหลเวียนของพลังต้นกำเนิดในเนินกลบวิญญาณนั้นดียิ่งและกลไกส่วนใหญ่ยังคงทำงานอยู่ พวกมันไม่ได้พังหรือสลายไปเพราะกาลเวลา แน่นอนสิ่งนี้สามารถเห็นได้จากการก่อตัวของพลังต้นกำเนิดที่ด้านหน้าทางเข้า เพราะหากสถานที่แห่งนี้ผุพังลงไปแล้ว การก่อตัวของพลังต้นกำเนิดที่ด้านหน้าก็ย่อมจะสูญเสียประสิทธิภาพไปนานแล้วเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนี้ได้รับเตรียมการอย่างเหมาะสม ทำให้เนินกลบวิญญาณยังคงอยู่ดีแม้จะผ่านมากาลเวลามาหลายหมื่นปี
ประการที่สอง พลังต้นกำเนิดของสถานที่แห่งนี้ มีความหนาแน่นเพียงพอที่จะถูกจัดอยู่ในระดับดาราแดง
ระดับของพลังต้นกำเนิดที่ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดครอบครองสามารถแบ่งออกได้เป็น ม่วง ดำ น้ำตาล แดง น้ำเงิน เขียวและเหลือง พลังต้นกำเนิดที่ความหนาแน่นอยู่ในระดับของดาราแดง เทียบได้กับพลังต้นกำเนิดของผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดด่านสู่พิสดาร
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือกลไกที่นี่รุนแรงจนสามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดด่านสู่พิสดารได้
เมื่อครู่นั่นคือแผ่นตรวจจับ หลังจากที่แสดงผลเสร็จเรียบร้อยแล้วมันจะทำลายตัวเอง
หลังจากได้ค้นพบข้อมูลทั้ง 2 นี้ ซูเฉินก็ยิ่งระมัดระวังมากขึ้น
รูปสลักหิน 2 แถวตั้งตระหง่านอยู่ในห้องโถงใหญ่ พวกมันทั้งหมดเป็นนักรบในชุดเกราะสีแดง มีดาบยาวสีเลือดพาดห้อยอยู่ที่เอว ซูเฉินเคยได้ยินมาว่ามีผู้ฝึกยุทธ์ประเภทหนึ่งในช่วงราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ พวกเขามีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันในนามนักดาบหลอมโลหิต พวกมันเป็นซากศพที่ได้รับการขัดเกลาด้วยเทคนิคสายเลือดลับเฉพาะ และในเวลาเดียวกันมันก็เป็นผลพลอยได้จากการทดลองที่ล้มเหลวในการระหว่างการวิจัยเกี่ยวกับเครื่องมือสกัดสายเลือดด้วยเช่นกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)