บทที่ 132 กระเรียนอ้วน (1)
ซูเฉินรีบเร่งวิ่งไปตลอดทาง ก้าวย่างหมอกอสรพิษถูกเปิดใช้งานอย่างเต็มที่ อุโมงค์ขนาดใหญ่ถล่มลงมาไล่หลังเขาอย่างกระชั้นชิด
ในที่สุด เด็กหนุ่มก็พุ่งออกมาจากใต้ดินได้ทันก่อนที่สุสานจะพังทลายลงมาอย่างสมบูรณ์
เขาได้รับการต้อนรับด้วยแสงสว่างจ้า
ตอนนี้เป็นเวลากลางวันแล้ว
ซูเฉินหรี่ตา
เขาหันไปมองตามเสียงดังก้องที่มาจากทางด้านหลัง พื้นดินที่เป็นโพรงอุโมงค์ดูเหมือนกับสูญเสียเสาที่คอยรองรับเอาไว้และถล่มลงในทันที และหลังจากที่มันก่อให้เกิดหลุมขนาดใหญ่ขึ้นบนพื้น การเคลื่อนไหวต่าง ๆ ก็หยุดลง
ทุกอย่างภายในเนินกลบวิญญาณถูกกลบฝังไปโดยสมบูรณ์
มันจบลงแล้ว ง่าย ๆ เพียงแค่นั้น
ซูเฉินจ้องมองดูสิ่งที่เคยเป็นสุสาน แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ
แม้ว่ามันจะเป็นประสบการณ์เพียงคืนเดียว ทว่าเด็กหนุ่มก็ได้รับประโยชน์มาไม่น้อย ถึงเขาจะไม่ได้รับสมบัติอะไรเยอะแยะ แต่เขาก็ได้รับความรู้มากมาย ซึ่งของอย่างหลังที่เขาได้รับมานั้น มันมีค่ายิ่งกว่าอย่างแรกเสียอีก !
ซูเฉินไม่ได้อยู่ต่อนานนัก เขาหันหลังและจากไป
เมื่อเข้าสู่พื้นที่หุบเขา เด็กหนุ่มก็มาถึงบริเวณใกล้สระน้ำ ต้นไทรขนาดใหญ่กำลังเติบโตอยู่ริมสระ มันดูมีอายุอย่างน้อยก็พันกว่าปี รากที่ลึกบิดและใบไม้แน่นขนัดของมัน ชวนให้ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขาอยู่ลึกเข้าไปในป่า
ซูเฉินมองไปรอบ ๆ และเริ่มปลดกางเกงของเขา เพื่อทำให้คนเข้าใจผิดไปว่าเขากำลังทำธุระส่วนตัว
หากในขณะนั้นมันมีจอแสงกำลังจับตาดูเขาอยู่ หลังได้เห็นพฤติกรรมเช่นนี้ ‘กล้อง’ ก็คงจะเปลี่ยนไปจับภาพคนอื่นไปแล้ว
ว่าแล้วซูเฉินก็เดินเข้าไปในดงต้นไทร แหวกหญ้าสูงที่อยู่ใกล้ ๆ ออกจนมาถึงโพรงต้นไม้
เขาดึงเอาแหวนต้นกำเนิดที่ได้มาจากเนินกลบวิญญาณออกมาวางไว้ในกล่อง และวางไว้ในโพรงต้นไม้อีกที ซึ่งซูเฉินก็ได้เรียงหิน 2-3 ก้อนเอาไว้เป็นเครื่องหมาย ก่อนที่จะคลุมมันไว้ด้วยใบไม้และวัชพืช
หลังจากจัดการทำเรื่องทั้งหมดนี้เสร็จแล้ว ซูเฉินก็เดินจากไปอย่างสบาย ๆ ไม่รีบร้อน
ตามหลักแล้ว เมื่อภารกิจเนินกลบวิญญาณของเขาเสร็จสิ้นไปเรียบร้อย ซูเฉินก็ควรจะกลับไปที่เขต 13 เพื่อรวบรวมคะแนน เข้าชิง 4 อันดับแรก
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้เขาได้ตกลงกับลี่ชิงอวิ๋นและไป๋หลี เรื่องการแข่งขันข้ามผ่านเขตการสอบทั้งหมดเอาไว้ ซึ่งปัจจุบันเด็กหนุ่มนั้นก็เพิ่งมาถึงเพียงแค่ครึ่งทางเท่านั้น และไม่น่าเป็นไปได้ที่เขาจะสามารถทำได้สำเร็จ
แต่ด้วยได้รับระเบิดเพลิงปักษา – ทักษะต้นกำเนิดที่ทรงพลังมา เขาจึงต้องการที่จะแข่งขันกับผู้เข้าสอบจากเขตระดับสูงกว่า เพื่อดูว่าตนจะสามารถทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน
ดังนั้นเขาจึงไม่เลือกที่จะกลับไปยังเขตที่ 13 แต่เลือกที่จะก้าวเข้าไปสู่เขตที่สูงขึ้นแทน
ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ ยามนี้ซูเฉินไม่มีแรงกดดันจากเรื่องของเนินกลบวิญญาณแล้ว ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหลบเลี่ยงการต่อสู้อีกต่อไป ตราบใดที่ยังมีคนที่กล้ากระโดดเข้าใส่ ซูเฉินก็พร้อมที่จะจัดการดูแลพวกเขาอย่างสะอาดหมดจด
คราวนี้ซูเฉินไม่ได้สวมหน้ากากแล้ว
ขณะที่กำลังเดินไปตามทาง ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็เห็นคนจำนวนหนึ่งวิ่งตรงเข้ามาจากที่ไกล ๆ
คนที่วิ่งนำหน้ามาคือเจ้าอ้วนหวังโต้วซาน ผู้มาเข้าสอบสาย ที่ด้านหลังของเขา มีผู้เข้าสอบที่พร้อมใจร่วมมือกันไล่ล่าเขาตามมาอยู่ 4 คน
หวังโต้วซานส่งเสียงเอะอะขณะที่เขาวิ่งหนี เมื่อเขาเห็นซูเฉินดวงตาของเขาก็ทอประกายและตะโกนเสียงดัง “ช่วยข้าด้วย!”
แต่แทนที่จะวิ่งตรงเข้าหาซูเฉิน หวังโต้วซานกลับวิ่งไปในทิศทางที่ไม่ไกลจากเขามากนักแทน เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเตรียมพร้อมสำหรับการถูกปฏิเสธ
แม้ว่าเขาจะขอความช่วยเหลือ แต่เขาก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะบังคับให้ซูเฉินลากลงไปเผชิญสถานการณ์นี้ร่วมกับเขา นี้ทำให้ซูเฉินรู้สึกประทับใจมาก
อย่างไรก็ตามความรู้สึกประทับใจ ก็เป็นเพียงความรู้สึกประทับใจ ซูเฉินบอกเป็นนัยว่าเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะลงมือเคลื่อนไหวแต่อย่างใด ด้วยการเอามือไพล่หลังไว้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)