บทที่ 134 ระเบิดเพลิงปักษา
หลังจากลังเลอยู่นาน ในที่สุดหวังโต้วซานก็ยอมทำตามคำขอของซูเฉิน หรืออย่างน้อยที่สุดเขาเหลือเอาไว้แค่เพียงกางเกงใน
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เต็มใจที่จะถอดเสื้อผ้าต่อหน้าซูเฉิน แต่ทว่าเป็นเพราะมันยังคงมีจอแสงที่คอยฉายภาพผู้เข้าสอบนั่นอยู่
หวังโต้วซานไม่ต้องการให้ร่างกายล่อนจ้อนของเขาไปปรากฏเด่นหราอยู่บนหน้าจอเช่นนั้น แม้ว่ามันจะดูเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เกินไป แต่ใครจะรู้ว่าในบรรดาบุคคลสำคัญเหล่านั้น จะมีใครบางคนหลงใหลคลั่งไคล้และอยากจะเห็นหนุ่มเปลือยกายอยู่บ้างหรือเปล่า?
ผลสุดท้ายของการตัดสินใจครั้งนี้ คือซูเฉินไม่สามารถช่วยให้จุดเยือกแข็งกลับไปเป็นกลางได้ทั้งหมด ทว่าจากทั้ง 12 จุด เขาช่วยแก้ไปได้แล้วอย่างน้อย 11 จุด นี่ทำให้ร่างกายของหวังโต้วซานสามารถฟื้นตัวได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ด้วยคำแนะนำของซูเฉิน หวังโต้วซานจึงได้รวบรวมพลังต้นกำเนิดทั้งหมดไปไว้ที่ร่างกายส่วนล่าง เพื่อเพิ่มความเร็วในการกระจายปราณเยือกแข็งเหล่านั้น
ทุกอย่างเรียบร้อยดี ยกเว้นความจริงที่ว่าเพราะด้วยสาเหตุนั่น จึงทำให้ตอนนี้น้องชายของหวังโต้วซานได้ตื่นขึ้น กางเกงในของเขานั้นตึงราวกับเต็นท์ที่ถูกกางตั้ง
เพราะพลังงานที่ไหลบ่าลงมาอย่างฉับพลัน มันจึงได้ถูกกระตุ้นและแข็งตัวขึ้นมา
หวังโต้วซานราวกับชายหนุ่มที่หยิ่งผยอง เดินไปมาพร้อมกับน้องชายที่ตื่นตัวของเขา และในขณะที่หวังโต้วซานเดิน เขาก็ได้พูดว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่า ต้องการสู้ข้ามเขตสนามสอบทั้งหมด?”
“ข้าไม่อยากอยู่เฉย ๆ ข้านั้นอยากจะเห็นด้วยตาตัวเองว่าผู้ที่มาจากเขตระดับสูงกว่านั้นแข็งแกร่งแค่ไหน” ซูเฉินตอบด้วยรอยยิ้ม
ในความเป็นจริง ซูเฉินสามารถสัมผัสถึงความแข็งแกร่งของผู้เข้าสอบทั่วไปในเขต 6 ได้แล้ว
ผู้เข้าสอบทั้งสี่ที่ไล่ตามหวังโต้วซานในตอนนั้น อาจนับได้ว่าเป็นอัจฉริยะผู้โดดเด่นในเมืองหลินเป่ย แต่ในเมืองเมฆาลอย ความสามารถของพวกเขาจัดอยู่ในระดับกลางเท่านั้น นั่นเป็นเพราะยังมีกลุ่มตระกูลสายเลือดชั้นสูงที่ทรงพลังกว่าอยู่เหนือพวกเขา
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ซูเฉินก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะล้มเลิกแผนการของเขา
ไม่ใช่แค่เพราะเขาได้เดิมพันกับลี่ชิงอวิ๋นและไป๋หลีไว้ ที่สำคัญกว่านั้นก็คือซูเฉินต้องการเห็นว่า ระหว่างบุคคลที่ครองพลังแข็งแกร่งที่สุดในช่วงวัยเดียวกันกับเขา กับตัวของเขาเองนั้นมีช่องว่างมากแค่ไหน
“เจ้าไม่ได้อ่อนแอ แต่เชื่อข้าเถอะ ความสามารถของเจ้ายังคงห่างไกลเกินกว่าจะสำรวจสนามสอบทั้งหมด ดูอย่างที่ข้าเจอสิ เพียงแค่เดินดูไปมารอบ ๆ ข้าก็โดนตบตีกลับมาจนเกือบจะฉี่รดกางเกงแล้ว ! ” หวังโต้วซานไม่ได้เห็นซูเฉินใช้ระเบิดเพลิงปักษาล้มคู่ต่อสู้ของเขา ดังนั้นความเข้าใจของหวังโต้วซานเกี่ยวกับความสามารถของซูเฉิน จึงวัดจากเพียงการสังเกตการต่อสู้ของเด็กหนุ่มกับผู้เข้าสอบคนหลังที่แยกออกไปเท่านั้น ดังนั้นหวังโต้วซานเลยพยายามจะเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายด้วยความหวังดี
ทว่าซูเฉินก็ยังคงยืนยันในความคิดของตัวเองอย่างดื้อดึง
เมื่อหวังโต้วซานเห็นว่าเขาไม่สามารถโน้มน้าวอีกฝ่ายได้ เขาจึงตัดใจ “เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าช่วยข้าเอาไว้ ถ้างั้นในการเดินทางครั้งนี้ข้าจะไปกับเจ้าด้วย !”
ซูเฉินตะลึงไปเล็กน้อย “นั่นไม่ได้มากมายอะไรเลย ข้าไม่เคยคิดที่จะร้องขอสิ่งตอบแทนจากเจ้าหรอกนะ”
“แต่ข้า ปู่อ้วนผู้นี้ของเจ้า ไม่สามารถปล่อยให้เจ้าไปโดนนางผู้หญิงชั่วร้ายจีหานเหยียนตบตี จนถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้เข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้นได้หรอกนะ ในเมื่อเจ้าช่วยข้า อย่างน้อยข้าก็ต้องทำให้แน่ใจว่าเจ้าจะผ่านเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้นไปได้” หวังโต้วซานพูดและตบหน้าอกของตน
ทำให้แน่ใจว่าเจ้าจะได้เข้าสถาบัน … ช่างเป็นคำพูดที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเสียจริง
แต่หลังจากที่ได้เห็นวิชาแยกเมฆาของหวังโต้วซานแล้ว ซูเฉินก็ต้องยอมรับว่าเขามีคุณสมบัติพอที่จะพูดเช่นนั้นจริง ๆ
พลังของวิชาแยกเมฆานั้นเทียบเท่าได้กับระเบิดเพลิงปักษา แต่ในฐานะผู้สืบทอดสายเลือดกระเรียนหิมะ เขาอาจไม่ได้มีทักษะกำเนิดสายเลือดแบบนี้เพียงแค่หนึ่งเท่านั้น
นี่คือความมั่นใจของตระกูลสายเลือดชั้นสูง!
นับตั้งแต่ที่ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ล่มสลายลงและ 7 อาณาจักรได้ถูกก่อตั้งขึ้น ระบบตระกูลสายเลือดชั้นสูงก็ได้รับการจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ หลังจากนั้นมาเผ่ามนุษย์ก็ได้เริ่มแบ่งออกเป็นชั้นสูงและชั้นล่าง สิ่งที่สนับสนุนระบบเหล่านี้นั่นคือพลังอันมหาศาลที่เหล่าผู้มีสายเลือดได้ถือครองเอาไว้
ในอดีตหลีกับหลินเย่เมาเป็นเพียงพวกสายเลือดผสม พวกเขาไม่สามารถแสดงความแข็งแกร่งดั่งตระกูลสายเลือดชั้นสูงที่แท้จริง ซึ่งคนอย่างหวังโต้วซานนั้นก็นับได้เป็นสมาชิกของตระกูลสายเลือดชั้นสูงคนแรกที่ปรากฏตัวขึ้น
และยังคงมีสมาชิกของตระกูลสายเลือดชั้นสูงเช่นเขาอีกมากมาย พวกเขาต่างกระจายอยู่ทั่วเผ่ามนุษย์และกลายเป็นเสาหลักที่สนับสนุนเผ่าพันธุ์นี้ ซึ่งในขณะเดียวกันพวกเขาก็กลายเป็นภูเขาขนาดยักษ์ที่คอยกดหัวเหล่าผู้ไร้สายเลือดทั้งหมดเอาไว้
มันเป็นเรื่องยากเกินไปที่ผู้ไร้สายเลือดจะสามารถเอาชนะตระกูลสายเลือดชั้นสูงได้
ถึงอย่างนั้น ในใจของซูเฉินก็ไม่ได้มีความกลัวใด ๆ ตรงกันข้าม จิตวิญญาณการต่อสู้ที่กล้าหาญของเขานั้นกลับถูกจุดขึ้นเพราะเรื่องนี้ !
เมื่อได้ยินที่หวังโต้วซานกล่าวมา ซูเฉินก็พูดว่า “เอาละ เช่นนั้นก็ไปด้วยกัน แล้วหากเราพบแม่นางจีหานเหยียนผู้นั้น เราจะโจมตีนางพร้อมกัน ถ้าเราไม่สามารถเอาชนะนางได้ด้วยคน ๆ เดียว ถ้างั้นพวกเราก็จะร่วมมือกันเอาชนะนางและช่วยให้เจ้าได้ระบายความโกรธ !”
หวังโต้วซานหัวเราะ “ดี ดี! เราจะต้องสอนบทเรียนให้นางผู้หญิงตัวเหม็นคนนั้น”
แต่หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง หวังโต้วซานก็รู้สึกว่าเพียงแค่สองคนนั้นยังไม่น่าจะเอาชนะผู้หญิงคนนั้นได้ ดังนั้นเขาจึงพูดอย่างรู้สึกผิดออกไปว่า “แต่มันก็คงจะดีที่สุด ถ้าเราไม่เจอนาง”
“เจ้ากลัวนาง?”
“ฮึ่ม ข้าจะไปกลัวนางได้อย่างไร? ข้าก็แค่ไม่อยากจะไปเสียเวลาทะเลาะกับนางก็เท่านั้น!”
“อืม … แต่ข้ากลับคิดว่าเจ้านั้นกำลังกลัวนาง”
“โอ้ เจ้ากล้าดูถูกปู้อ้วนผู้นี้เช่นนั้นหรือ? ขอโทษข้ามาเลยนะ”
“เอาล่ะ ๆ ข้าขอโทษ ปู่กระเรียนอ้วน เจ้าช่างเป็นคนฉลาดหาตัวจับยากไม่มีใครเทียบ…”
“เหตุใดข้าถึงได้รู้สึกเหมือนว่าคำพูดของเจ้าไม่จริงใจเลยกัน?”
“ดูเจ้าสิ ช่างเอาใจยากเสียจริง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)