ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) นิยาย บท 34

สรุปบท บทที่ 34 การจากลา: ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

ตอน บทที่ 34 การจากลา จาก ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 34 การจากลา คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

บทที่ 34 การจากลา

วันเริ่มต้นบทลงทัณฑ์สีเลือดของเด็กหนุ่มมาถึงแล้ว

ในวันนี้ ทุกคนในตระกูลซูต่างพากันมารวมตัวที่นอกเมืองหลินเป่ย

ในหมู่ผู้คน มีทั้งคนที่มาส่งซูเฉิน และคนที่มาดูให้มั่นใจว่าซูเฉินได้เดินทางไปยังเทือกเขาสีเลือดจริง ๆ

ซูเฉินแบกถุงผ้าถุงหนึ่งไปด้วย ด้านในเต็มไปด้วยอาหารและอาวุธมากมายที่ท่านแม่และซูเฟยหูให้เขาไว้ รวมถึงมีดเหล็ก เกราะอกที่ทำจากหนัง และหน้าไม้ ถึงของพวกนี้จะไม่ใช่เครื่องมือต้นกำเนิดแต่ก็เป็นของชั้นเลิศ

“ท่านพ่อ เฉิงเอ๋อร์ตาบอดนะเจ้าคะ! ท่านพ่อจะยอมปล่อยเขาไปยังเทือกเขาสีเลือดแบบนี้หรือ? ท่านจะปล่อยเขาไปตายเอานะเจ้าคะ!”

ถังหงรุ่ยยังคงไม่ยอมแพ้ นางพยายามโน้มน้าวซูฉางเช่อ ให้หยุดซูเฉินไว้

คนสูงอายุถอนหายใจยาวออกมา “ข้าไม่ได้อยากให้เขาตาย เขาเป็นคนเลือกเอง”

“แต่ท่านหยุดเขาไว้ได้!”

ซูเค่อจี่หัวร่อ “พี่สะใภ้พูดแบบนั้นไม่ถูกเสียทีเดียว ที่เผ่ามนุษย์สามารถตั้งมั่นท่ามกลางเผ่าศัตรูนับไม่ถ้วนได้เป็นเพราะความกล้าหาญไม่ยอมพ่ายแพ้ของนักรบเรา ถึงสถานการณ์จะยากลำบากเพียงไหน ทหารของเราก็ไม่เคยท้อถอย ซูเฉินมุ่งฝึกตนในทางยุทธ์ของเต๋ามาโดยตลอด เพื่อที่จะมุ่งมั่นไปทางเต๋าแล้วนั้น เขาจึงไม่เกรงกลัวอันตรายใด เราจะไปห้ามเขาได้อย่างไรกัน? มากไปกว่านั้น ถึงซูเฉินจะมองไม่เห็นแต่ก็ยังสามารถทำให้ ซูเยว่และโม่ต้าเหยียนบาดเจ็บหนักได้ หมายความว่าเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าคนปกติ ในปีนั้นลูกชายข้าก็แพ้ให้กับเขาไม่ใช่หรือ? แน่นอนว่าซูเฉินมีความสามารถ สำหรับเขาแล้วการรอดชีวิตกลับมาจากเทือกเขาสีเลือดไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้”

สองสามประโยคสุดท้ายมิวายมีแววถากถางเจือมาด้วย เป็นคำกล่าวที่เต็มไปด้วยคำดูถูก

“ซูเค่อจี่!” ถังหงรุ่ยกัดฟันแน่น “หลายปีมานี้เป็นเพราะเจ้าที่ทำให้ลูกชายข้าต้องลำบาก หากไม่ใช่เพราะเจ้า ลูกชายข้าก็ไม่จำเป็นต้องเลือกเดินทางนี้ ข้า ถังหงรุ่ย ไม่มีทางจบเรื่องนี้กับเจ้าแน่!”

ว่าแล้วนางก็ทำท่าจะกระโจนไปทางซูเค่อจี่ ทว่าโชคดีที่มีคนดึงนางไว้

ถึงกระนั้นซูเค่อจี่ก็ยังรู้สึกผวากับความดุร้ายของนาง เขารีบถอยไปหลายก้าวด้วยกัน “เจ้ากล้าพูดเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ สวรรค์โปรด เรื่องพวกนั้นเกี่ยวข้องอันใดกับข้า?”

เขาทำสีหน้าดั่งคนถูกกล่าวหา

ซูเฉินที่มองเหตุการณ์อยู่ไกล ๆ จับมือซูเฟยหูที่เดินมาส่งเขาไว้ “ลุงสาม ข้าจากไปไม่ห่วงสิ่งใด เว้นเสียแต่เรื่องท่านแม่ ข้าไม่ได้อยู่ข้างกายนาง เกรงว่าต้องรบกวนท่านลุงคอยดูแลนาง อย่าให้นางทำเรื่องไร้เหตุผล”

“เจ้าวางใจเถิด” ซูเฟยหูตอบ “แต่เจ้าต้องระวังตัวให้มาก สายตาเจ้ามองไม่เห็นสิ่งใด จึงได้แต่พึ่งการสัมผัสช่วยในการเดินทาง อย่ากินของที่ไม่สมควรกิน ในถุงมีอาหารมากมายเพียงพอสำหรับเจ้า ถึงจะหนักไปสักหน่อยแต่ก็ดีกว่ากินอะไรไปสุ่มสี่สุ่มห้า”

“ท่านลุงไม่ต้องเป็นห่วงข้า” ซูเฉินหัวเราะ “พอสังหารอสูรร้ายได้ข้าก็มีเนื้อให้กินเกินพอแล้ว”

“สวรรค์ ข้ากลัวเรื่องที่เจ้าจะพยายามสังหารอสูรร้ายนี่ล่ะ เจ้าพยายามหาทางเอาตัวรอดจนกว่าบทลงโทษจะจบลงเถอะ อยากมากก็อาจลำบากสักหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าเอาชีวิตไปทิ้ง!”

“ข้าจะระวังตัว” ซูเฉินตอบก่อนจะหันหลังเดินหน้าเข้าสู่แนวเทือกเขา

ฝีเท้าของเขาไม่รวดเร็ว ทว่ามั่นคงยิ่ง ค่อย ๆ ก้าวเดินทีละก้าวไม่นานเขาก็เดินหายไปในป่ากว้าง

เมื่อเห็นว่าร่างบุตรชายตนเลือนหายไปในผืนป่ากว้างน่าสะพรึงต่อหน้าต่อตา ผู้เป็นแม่นั้นรู้ดีว่าโอกาสรอดของเขานั้นทั้งมีน้อยและไม่มีทางรู้ชะตาได้เลยว่าจะเป็นอย่างไร เมื่อคิดดังนั้น แข้งขาถังหงรุ่ยก็พลันอ่อนลงจนนางลงไปนั่งอยู่กับพื้น

——————————————

เทือกเขาสีเลือดนั้นมีความยาวหลายพันกิโลเมตร มีผืนป่ากว้างครอบคลุมพื้นที่อันสุดลูกหูลูกตาอยู่

ยิ่งซูเฉินเดินลึกเข้าไปในป่า รอบข้างก็ยิ่งถูกล้อมรอบไปด้วยยอดเขาสูงต่ำนับไม่ถ้วน ภูมิประเทศโดยรอบสลับซับซ้อน ทางเดินก็ขรุขระ การเดินทางเต็มไปด้วยอันตรายมากมาย

หลังจากนั่งรอมาราวหนึ่งชั่วโมง สัตว์อสูรตัวแรกก็ปรากฏตัวขึ้น

เป็นพยัคฆ์เขี้ยวเลื่อย

เจ้าตัวนี้เป็นเพียงอสูรชั้นต่ำเท่านั้น ไม่ใช่อสูรร้าย

แต่ถึงกระนั้น ร่างของมันก็มีขนาดใหญ่ หนักหลายตัน ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถรอดชีวิตจากเงื้อมมือมันได้

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูร่างใหญ่ยักษ์เช่นนี้ ซูเฉินก็ยังไม่คิดที่จะใช้เครื่องมือต้นกำเนิด แต่เขาเลือกที่จะจัดการมันด้วยมือเปล่า

สำหรับผู้ที่อยู่ในด่านหลอมกายาขั้น 9 พละกำลังของซูเฉินไม่อาจสู้กำลังของพยัคฆ์เขี้ยวเลื่อยได้เลย หมัดพยัคฆ์เพลิงตระกูลซูเป็นวิชาที่สามารถโจมตีได้รุนแรง ดังนั้นแรงซัดของทั้ง ซูเฉินและพยัคฆ์เขี้ยวเลื่อยจึงมีพอ ๆ กัน การต่อสู้ครั้งนี้ไร้สิ่งน่าตื่นตาตื่นใจ ทั้งสองฝ่ายต่างซัดหมัดและอุ้งมือเข้าใส่กันเพื่อตัดสินว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะได้ก่อน

สุดท้ายซูเฉินก็ใช้พละกำลังมหาศาลของตนเอาชนะพยัคฆ์เขี้ยวเลื่อยไปได้ ถึงเขาจะถูกมันตะปบอยู่สองสามครั้งก็ตามที

ทว่าเด็กหนุ่มกลับไม่ใส่ใจกับอาการบาดเจ็บนัก เขาใช้มีดเหล็กหั่นเนื้อพยัคฆ์ออกเป็นหลายส่วน จากนั้นก่อกองไฟและนำเนื้อมันมาทำอาหาร

เนื้อพยัคฆ์นั้นนับเป็นอาหารเสริมชั้นยอด กินเข้าไปแล้วสามารถเพิ่มพลังได้มาก

สัตว์อสูรกินมนุษย์ มนุษย์เองก็กินสัตว์อสูรเช่นเดียวกัน ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งมนุษย์และสัตว์อสูรต่างก็มีพลังงานอยู่ในร่างเหมือน ๆ กัน

เหตุผลที่เขาเลือกเดินทางมายังเทือกเขาสีเลือดไม่ใช่เพียงเพื่อหล่อหลอมพละกำลังจากการต่อสู้เท่านั้น ที่สำคัญคือมีของล้ำค่าที่เกี่ยวกับสัตว์อสูรอยู่ที่นี่มากมาย กระทั่งเนื้อของอสูรชั้นต่ำที่มีพลังระดับต่ำที่สุดยังสามารถนำไปกินเพื่อเพิ่มพลังได้อย่างมหาศาล

คืนนั้น หลังจากซูเฉินจัดการเนื้อพยัคฆ์จนหมดแล้ว เขาก็ใช้หนังพยัคฆ์ห่อตัวนอน และแล้วคืนแรกของเด็กหนุ่มบนเทือกเขาสีเลือดแห่งนี้จบลงเช่นนี้เอง

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)