บทที่ 50 หลี่ชู่
จางหยวนเหลียวตายแล้ว
เขาตายภายใต้คมดาบของซูเฉิน
เพราะจางหยวนเหลียวถูกพิษจากผงขัดพลังปราณ การฆ่าเขาจึงไม่ทำให้ซูเฉินเปลืองแรงอะไรนัก แต่การฆ่าคนก็ยังคงทำให้ซูเฉินรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของซูเฉินที่จะฆ่าใครบางคน เมื่อตอนที่เด็กหนุ่มฆ่าหลินเซี่ย ความสนใจทั้งหมดของเขาก็ตกไปอยู่กับการหลบหนี และไม่มีเวลามานั่งพิจารณาในสิ่งที่ตนทำ
แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ใช่คนดี และถึงแม้ว่าจะไม่มีใครได้รู้เรื่องการกระทำของเขา ทว่าซูเฉินก็ยังรู้สึกอึดอัดใจอย่างมาก
“เดี๋ยวข้าก็ชินกับมัน” ซูเฉินพึมพำกับตัวเองในขณะที่เขาเกาะต้นไม้เอาไว้
ซูเฉินจ้องไปที่ศพ ที่เด็กหนุ่มทำเช่นนี้ไม่ใช่เพื่ออะไรเลย นอกเสียจากกำลังบังคับตัวเองให้ชินกับฉากนองเลือดตรงหน้านี้
หลังจากนั้นไม่นาน กองเลือดสีแดงวาววับก็ไม่ได้แสลงตาซูเฉินอีกต่อไป เขาเดินเข้าไปและดึงแหวนออกมาจากนิ้วของจางหยวนเหลียว
เมื่อได้รับแหวนมาแล้ว ซูเฉินก็ได้ลองใส่พลังต้นกำเนิดลงไป ทว่ามันก็ไม่มีการตอบสนองใด ๆ กลับมา เมื่อตรวจสอบเพิ่มเติม เด็กหนุ่มก็สังเกตเห็นกลไกเล็ก ๆ อยู่บนตัวแหวน หลังจากที่กดลงไปแล้ว มิติแยกอิสระก็ปรากฏตรงหน้าและช่วยยืนยันข้อสงสัยของเขา ใช่แล้ว นี่คือแหวนกักเก็บ
พื้นที่ขนาดเล็กประมาณ 3 ลูกบาศก์เมตร ด้านในมีเหล้าอยู่ไม่กี่ขวด เสื้อผ้า ทองคำบริสุทธิ์เล็กน้อย และขวดยาบางชนิด หนึ่งในนั้นซูเฉินเคยเห็นมันมาก่อน มันคือผงขัดพลังปราณที่ จางหยวนเหลียวเอาให้เขากิน ส่วนอย่างสุดท้ายคือหน้ากากปีศาจ
แน่นอนว่ามันเองก็นับเป็นแหวนกักเก็บเช่นกัน แต่มันก็เป็นเพียงแหวนกักเก็บทั่วไป หาได้มีความสามารถในการเก็บพลังต้นกำเนิดไม่ เมื่อรู้ดังนั้น ซูเฉินจึงได้แต่ถอนหายใจออกมา
ตั้งแต่แวบแรกที่เขาพบจางหยวนเหลียว เมื่อเด็กหนุ่มสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้พกกระเป๋าเก็บของมาด้วย ซูเฉินก็สงสัยแล้วว่าชายหนุ่มมีแหวนกักเก็บอยู่กับตัว เมื่อตอนที่ดื่มเหล้าจางหยวนเหลียวคงจะโรยผงพิษออกจากแหวนกักเก็บเพื่อวางยาเขาตรง ๆ และนั่นก็เป็นการช่วยยืนยันการคาดเดาของเขา
แหวนที่ไม่มีความสามารถในการเก็บพลังต้นกำเนิดนั้นถูกผลิตขึ้นโดยใช้ส่วนผสมที่มีคุณภาพต่ำที่สุด มันสามารถเก็บของทั่วไปได้ ทว่าใช้อะไรกับพลังต้นกำเนิดไม่ได้ หากมีสิ่งใดที่มีพลังต้นกำเนิดอยู่ภายใน อาทิเช่นเครื่องมือต้นกำเนิด หินพลังต้นกำเนิด หรือแม้แต่ส่วนผสมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพลังต้นกำเนิด ของพวกนั้นก็จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของพื้นที่มิติแยกอิสระและจะทำให้มันแตกสลาย
น่าเสียดายที่มันเป็นแค่แหวนเก็บของธรรมดา
แหวนเหล่านี้ถูกเรียกว่า ‘แหวนเก็บของ’ เพื่อแยกความแตกต่างจากแหวนกักเก็บที่มีคุณภาพสูง ที่สามารถเก็บเครื่องมือและส่วนผสมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพลังต้นกำเนิดได้ การที่ซูเฉินส่งพลังต้นกำเนิดเข้าแหวนไปก่อนหน้านี้นั้น นับเป็นการกระทำที่มีความเสี่ยง แต่โชคดีที่จำนวนพลังที่เขาส่งเข้าไปนั้นต่ำมาก และเขาก็ทำมันเพื่อจะกำจัดตราประทับ ดังนั้นจึงไม่มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้น
ด้วยเหตุนี้แหวนกักเก็บชนิดนี้จึงไม่สามารถปิดผนึกได้ ทุกคนสามารถเปิดมันออกได้เพียงแค่กดที่กลไกบนตัวแหวน
แม้ว่าแหวนเก็บของจะมีพื้นที่ขนาดเล็ก มีข้อจำกัดมากมายเกี่ยวกับของที่สามารถจัดเก็บได้ และไม่มีมาตรฐานการป้องกันก็มีปลอดภัยนัก แต่ราคาของมันก็ไม่น้อยเลย เท่าที่ซูเฉินรู้มูลค่าของมันไม่ต่ำกว่า 600 หินพลังต้นกำเนิด
แต่เดิมซูเฉินเองก็ต้องการซื้อมัน แต่หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าหินพลังต้นกำเนิด 600 ก้อนนั้นสำคัญกับเขามากกว่า แทนที่จะเอาไปซื้อแหวนเก็บของที่ดูฉูดฉาด สู้ใช้มันเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งยังดีเสียกว่า แม้ว่ามันจะไม่สะดวกที่จะต้องพกเป้ขนาดใหญ่ไปทุกที่ ทว่ามันก็ยังดีกว่าการขาดหินพลังต้นกำเนิดในช่วงเวลาวิกฤติ เมื่อเขาเก็บเงินได้เพียงพอเขาจะพิจารณาเรื่องการซื้ออีกครั้ง
แต่ท้ายที่สุดซูเฉินก็ไม่ได้ประหยัดเงินมากพอเพราะต้องซื้อสิ่งของหลายอย่าง โชคดีที่แหวนเก็บของนี้ได้มาปรากฏอยู่ในมือของเขา
ซูเฉินตรวจสอบแหวนอยู่อีกครู่หนึ่งเพื่อยืนยันว่าไม่มีร่องรอยตราประทับของจางหยวนเหลียวซ่อนอยู่แล้ว อันที่จริงผลิตภัณฑ์ชนิดนี้มักจะเปลี่ยนมือเจ้าของอยู่ตลอดเวลา ไม่เหมาะสำหรับการลงตราประทับ ดังนั้นซูเฉินจึงได้รับมันไปอย่างง่ายดาย
หนังสัตว์มากมายที่ถูกล่ามาในช่วงหลายวันนี้ถูกยัดเก็บเข้าไปในแหวน หลังจากทั้งหมดถูกเก็บเข้าไปเรียบร้อยแล้ว ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าเพราะสัมภาระที่น้อยลง จึงทำให้เขาเคลื่อนไหวได้สบายขึ้นมาก
แน่นอนว่าซูเฉินไม่ได้เอาทุกอย่างไปใส่ไว้ในนั้น เขาเก็บเพียงสิ่งของที่ไม่ได้ใช้บ่อยเช่นพวกวัตถุดิบหรือทรัพยากรที่ได้รับมา ถุงเป้ใบใหญ่ก่อนหน้านี้ได้กลายเป็นถุงเป้ที่มีขนาดเล็กลง เมื่อผู้คนที่จ้องมองมาพวกเขาก็จะเชื่อว่าตัวเขาไม่น่าจะมีวงแหวนสำหรับเก็บของและจะไม่สนใจเขา จากนั้นซูเฉินก็อำพรางมีดสั้นริ้วดำและปกปิดชุดเกราะพลอยม่วงด้วยเสื้อผ้า
ในส่วนรองเท้าย่ำเมฆีเท่านั้นที่มีปัญหาเล็กน้อย ทักษะต้นกำเนิดของรองเท้านี้ไม่อนุญาตให้มีสิ่งใดมาปกปิดหรือคลุมทับมันเอาไว้ ไม่เช่นนั้นการหมุนเวียนของพลังต้นกำเนิดจะถูกรบกวน ซูเฉินจึงทำได้เพียงปล่อยมันเอาไว้แบบนั้น
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว ซูเฉินก็สวมหน้ากากปีศาจแล้วมุ่งหน้าไปยังหุบเขามรกต
ในการเดินทางไปยังหุบเขามรกต เมื่อไปถึงก็ย่อมจะมีคนมากหน้าหลายตาปรากฏขึ้น ซูเฉินไม่มั่นใจเลยว่าเขาจะสามารถแกล้งทำเป็นคนตาบอดได้ตลอดเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นค้นพบว่าตนไม่ได้ตาบอด วิธีที่ดีที่สุดก็คือการปกปิดตัวตนของเขา
หน้ากากนี้ถือว่ามีประโยชน์มากทีเดียว
————
หุบเขามรกตตั้งอยู่ในป่าทางตะวันออกของเทือกเขาสีเลือด มันใช้เวลาเดินทางโดยประมาณทั้งหมด 3 วันจากหุบเหวโลหิต
หุบเหวโลหิตเป็นเส้นแบ่งระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่าอสูร ทางทิศใต้ของหุบเหวเป็นดินแดนของเผ่ามนุษย์ในขณะที่ทิศเหนือของหุบเหวเป็นดินแดนของเหล่าอสูร
มนุษย์ได้ก่อตั้งรกรากที่นี่ บริเวณที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดไล่ล่าอสูรร้ายก็คือป่าทางใต้ของหุบเหวโลหิตนี้ ส่วนเหล่าอสูรร้ายที่ถูกพวกเขาล่านั้น ก็เป็นพวกที่ข้ามหุบเหวมานั่นเอง
ไม่มีใครกล้าไปทางเหนือ สถานที่นั้นเป็นสรวงสวรรค์ของอสูรร้าย หากแต่เป็นนรกบนดินของมนุษย์
ต้องใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 3 วันจากหุบเหวโลหิต หมายความว่าหุบเขามรกตนั้นอยู่บนพื้นที่ตะวันออกกลางของเทือกเขาสีเลือด
และมันย่อมมีอสูรร้ายและอสูรร้ายระดับสูงกว่ามากมายอยู่ในสถานที่แห่งนั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)