โครงกระดูกรูปร่างมนุษย์สองคน คนหนึ่งสูงไม่เกิน หนึ่งจุดเก้า เมตร อีกคนสูงไม่เกิน หนึ่งจุดแปด เมตร มองผิวเผินอาจดูธรรมดา แต่ฉากตรงหน้าสร้างแรงกระเพื่อมภายในจิตใจไคลน์บนสายหมอกอย่างรุนแรง
ในวินาทีนี้ ชายหนุ่มรู้สึกราวกับได้ย้อนไปเมื่อครั้งได้เห็น ‘รังไหม’ และบานประตูแห่งแสงครั้งแรก แต่อารมณ์แตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย
นี่มัน…ไม่ใช่ศพของคนยักษ์ แต่เป็นมนุษย์…ราชาคนยักษ์เออเมียร์มีพ่อแม่เป็นมนุษย์? ดวงตาไคลน์พลันเบิกกว้าง ราวกับต้องการรับแสงเพิ่มขึ้นเพื่อให้เห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจน
แต่ไม่ว่าจะพยายามสำรวจตรวจสอบสักเพียงใด มันก็ไม่พบร่องรอยของคนยักษ์บนกระดูกสีเทาทั้งสอง
แขนขาเหมือนมนุษย์ แถมยังมีสองเบ้าตาบนกะโหลก ไม่มีทางเป็นคนยักษ์ในวัยเยาว์แน่!
หลังจากความเงียบปกคลุมสักพัก ไคลน์ลดมือข้างที่ถือคทาเทพสมุทรลงพร้อมกับผุดความคิดหนึ่ง
ถ้าไม่ได้เป็นพ่อแม่คนละสายเลือด…ก็ต้องแปลว่ามนุษย์คือต้นตระกูลของคนยักษ์…หรือว่าในยุคสมัยที่หนึ่งซึ่งวุ่นวายและบ้าคลั่ง มนุษย์บางคนผสานเข้ากับตะกอนพลังจนกลายเป็นคนยักษ์ที่โหดร้าย กระหายเลือด บ้าสืบพันธุ์ และไร้เหตุผล? โดยในภายหลัง ลูกหลานของคนเหล่านั้นสืบทอดลักษณะทางกายภาพของคนยักษ์จากรุ่นสู่รุ่น แต่ในทางกลับกัน ลูกหลานคนยักษ์ก็มีสติมากขึ้น กลายเป็นเพียงคนยักษ์ที่ป่าเถื่อนและกระหายเลือด…ในหมู่คนยักษ์เหล่านั้น เออเมียร์เป็นกลุ่มแรกที่กลายพันธุ์ แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ท่านผู้นั้นกลายเป็นเทพบรรพกาลสำเร็จ? หรือว่านี่คือตำนานที่แท้จริงของพระผู้สร้างต้นกำเนิดเหมือนกัน?
หลังจากเปลี่ยนให้ข้อสันนิษฐานกลายเป็นทฤษฎี ไคลน์เริ่มผุดคำถามใหม่
ทำไมราชาคนยักษ์ถึงกำหนดให้ป่าเสื่อมโทรมกลายเป็นสถานที่ต้องห้ามและไม่อนุญาตให้สิ่งมีชีวิตใดผ่านเข้าออก?
ท่านไม่อยากให้มีใครรู้ว่า แท้จริงแล้วมนุษย์คือต้นกำเนิดของคนยักษ์?
แต่ถ้าต้องการทำแบบนั้นจริง แค่เผากระดูกของพ่อแม่ก็สิ้นเรื่อง ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องยุ่งยากขนาดนี้…นอกจากนั้น ความรู้สึกที่ต้องการปกป้องอย่างแรงกล้านั่นมันอะไร?
แล้วใครเป็นคนเปิดฝาหลุมศพ? เทพสุริยันบรรพกาลผู้ฆ่าราชาคนยักษ์? เทพแห่งรุ่งอรุณ บาร์ดไฮเออร์? หรือเทพรับใช้ตนอื่นภายในวังราชาคนยักษ์?
นอกจากนั้น ถ้าบรรพบุรุษของคนยักษ์คือมนุษย์ แล้วเผ่าพันธุ์กึ่งมนุษย์อื่น ๆ อย่างเอลฟ์กับผีดูดเลือดล่ะ? แล้วบรรพบุรุษของมหามังกรคือกิ้งก่าหรือไง?
นี่คือสาเหตุที่ขั้วอำนาจเผ่าพันธุ์กึ่งมนุษย์ กับวางตัวเป็นอริเผ่าพันธุ์อื่นในช่วงต้นและกลางยุคสมัยที่สอง?
เนื่องจากขาดเบาะแสและข้อมูล ไคลน์จึงไม่กล้าฟันธง ทำได้เพียงสลัดความคิดฟุ้งซ่านและให้ความสนใจกับทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์
ในเวลาเดียวกัน นักล่าปีศาจ โคลินนำทางโลเฟียร์ เดอร์ริค และคนที่เหลือเดินไปยังหน้าป้ายหลุมศพ
พวกมันตกอยู่ในความเงียบงันที่ยากจะบรรยายเป็นเวลานาน
จนกระทั่งโจชัวผู้สวมถุงมือสีแดง ซักถามด้วยความลังเล
“นี่คือพ่อแม่ของราชาคนยักษ์?”
ในสายตาของเหล่า ‘อัศวินรุ่งอรุณ’ แห่งเมืองเงินพิสุทธิ์ ศพทั้งสองมีส่วนสูงไม่เหมือนกับคนยักษ์ แถมยังเตี้ยกว่าพวกตนในช่วงโตเต็มวัย
หรือถ้าจะสมมติให้เป็นคนยักษ์วัยเยาว์ สัดส่วนของร่างกายและใบหน้าก็ยังไม่ถูกต้อง
คำถามของโจชัวดังก้อนกังวาน แต่ก็ไม่มีใครตอบกลับ
ผ่านไปหลายวินาที นักล่าปีศาจโคลินกล่าวเชื่องช้า
“นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ต้องเก็บเป็นความลับ”
มันมิได้เล่าการคาดเดาและทฤษฎีของตน
“…หมายความว่า แท้จริงแล้วคนยักษ์เป็นมนุษย์ประเภทหนึ่งที่ผสานเข้ากับตะกอนพลัง?” แอนเทียน่าเจ้าของผมสีไวน์แดงกล่าวด้วยสีหน้าครุ่นคิด
บรรพบุรุษของคนยักษ์คือมนุษย์? เดอร์ริคตกตะลึงจนพูดไม่ออกไปสักพัก มันรู้สึกว่าความแตกต่างของทั้งสองเผ่าพันธุ์มีมากเกินไป
ท่ามกลางกระแสความคิด เด็กหนุ่มนึกถึงพวกพ้องที่เกิดคลุ้มคลั่ง โดยเฉพาะเส้นทางคนยักษ์ และเริ่มมองว่าทฤษฎีดังกล่าวมีโอกาสเป็นจริง
ผู้คลุ้มคลั่งส่วนมากมักมีร่างกายใหญ่โต ผิวหนังเป็นสีเทาอมน้ำเงิน หว่างคิ้วแยกออกจนเกิดเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่คล้ายกับจะดูดกลืนดวงตาทั้งสองข้างเข้าไป
“เป็นไปได้…” นักล่าปีศาจโคลินตอบกระชับ
สมาชิกทีมสำรวจของเมืองเงินพิสุทธิ์จมอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
ท่ามกลางบรรยากาศดังกล่าว เดอร์ริคชำเลืองไปทางอาวุโสโลเฟียร์และพบว่า คนเลี้ยงแกะรายนี้ยังคงมีสีหน้าเงียบเฉย ไม่สับสนหรือครุ่นคิด
นักล่าปีศาจโคลินมองไปรอบตัวและกล่าว
“แบ่งกลุ่มทีมละสองสามคน แยกย้ายกันค้นหาเบาะแสเพิ่มเติมในบริเวณใกล้เคียง”
สมาชิกทีมสำรวจตื่นจากภวังค์และกลับมาได้สติ รีบตรวจสอบบริเวณใกล้เคียงอย่างระมัดระวังตามคำสั่ง
แต่น่าเสียดายที่ป่าเสื่อมโทรมแห่งนี้ไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากต้นไม้ ป้ายหิน และหลุมศพ
เดอร์ริคและฮาอิมรีบสับเปลี่ยนสมบัติปิดผนึกระหว่างกัน เพื่อมิให้ไม้กางเขนเจิดจรัสขับตะกอนพลังของเดอร์ริคออกจากร่าง
จากนั้น ทุกคนเดินตามนักล่าปีศาจโคลินออกจากป่าเสื่อมโทรม ข้ามหินก้อนมหึมาที่ยื่นออกจากกำแพงภูเขา จนกระทั่งพบปากถ้ำขนาดใหญ่ที่มีความสูงถึงสามสิบเมตร
ด้านนอกถ้ำมีแผ่นศิลาแตกกระจัดกระจาย วัชพืชงอกเงยปกคลุม
ท่ามกลางแสงสนธยาสีส้ม บรรยากาศที่นี่มอบความรู้สึกทรุดโทรมเหนือพรรณนา
เมื่อเข้าไปด้านในถ้ำ ทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์ลัดเลาะไปตามผนังหินที่ผุกร่อนและเต็มไปด้วยภาพจิตรกรรม บนพื้นเป็นหญ้าแห้งสลับกรวดหยาบ ทุกคนทำการสำรวจอย่างระมัดระวัง
ทุกย่างก้าวมอบความรู้สึกประหนึ่งสัญญาณชีพทวีความอ่อนแอและค่อย ๆ เลือนหาย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ