ในดินแดนเทพทอดทิ้งมักไม่มีค่อยถนนหนทางตามปกติ แต่ก็ไม่ได้เดินยากมากนัก เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นทุ่งกว้างสีดำสนิทอันแห้งแล้ง
เหนือดินแดนทุรกันดารมักมีพืชที่เติบโตอย่างดื้อรั้นประปราย พวกมันมีรูปร่างประหลาดและบิดเบี้ยว ไคลน์มิอาจระบุได้ว่าพืชเหล่านี้มาจากสายพันธุ์ใด
รอบนอกเขตแสงสว่างของตะเกียง คล้ายกับความมืดมีชีวิตชีวา พวกมันดูเหมือนกำลังเคลื่อนตัวอย่างเงียบงันเพื่อกลืนกินทุกสิ่งที่ปกคลุม
ในฐานะปราชญ์โบราณ ไคลน์ชำเลืองด้วยหางตาและพบว่ามีกลุ่มด้ายวิญญาณมายาจำนวนมากยื่นออกจากความมืดมิดรอบตัว บ่งบอกว่าภายในจุดดังกล่าวมีสัตว์ประหลาดซุ่มซ่อนอยู่ไม่น้อย
สัตว์ประหลาดเหล่านี้ทำตัวเงียบเชียบ เอาแต่จ้องอามุนด์ซึ่งแต่งกายในชุดจอมเวทโบราณ และจ้องไคลน์ที่แต่งกายในมาดสุภาพบุรุษยุคปัจจุบัน เฝ้ามองคนทั้งสองเดินท่ามกลางดินแดนทุรกันดารอันรกร้างโดยมีแสงสีเหลืองปกคลุม
ไคลน์มองตรงไปข้างหน้าพลางถือตะเกียงอย่างมั่นคงโดยไม่กังวลว่าจะดับ
ขณะมันและอามุนด์กำลังจะออกจากทุ่งกว้างและเข้าสู่เขตเนินเขา ในความมืดด้านหลังเยื้องออกไป ร่างของสัตว์ประหลาดสองหัวและห้าแขนพลันสั่นกระตุกแผ่วเบา
มันกลายเป็นหุ่นเชิดของไคลน์
พลังควบคุมด้ายวิญญาณนั้นเงียบเชียบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และระยะห่างก็อยู่ภายในห้าร้อยเมตร
วินาทีถัดมา สัตว์ประหลาดทรุดตัวลงอย่างเงียบงันพร้อมกับเสียชีวิต
ขณะเดินอยู่ฝั่งซ้ายมือไคลน์ อามุนด์ซึ่งแต่งกายด้วยหมวกปลายแหลมแสยะยิ้ม ยกแขนขวาขึ้นและแบมือเผยบางสิ่ง
หนอนแมลงโปร่งใส่ที่มีลวดลายสามมิติ
หนอนวิญญาณ!
อามุนด์ขโมยมันมาจากหุ่นเชิดตัวดังกล่าวพร้อมกับด้ายวิญญาณ
โดยไม่รอให้ไคลน์พูด อามุนด์ขยับนิ้วเพื่อกำมือ บดขยี้หนอนแมลงโปร่งใส
ไคลน์พลันเกิดความเจ็บปวดจากส่วนลึกของดวงวิญญาณ ประหนึ่งศีรษะกำลังถูกผ่า
โชคดีที่ชายหนุ่มเคยสร้างยันต์วันวานอีกครั้งและกระสุนคุมวิญญาณมาหลายครั้ง จึงค่อนข้างคุ้นเคยกับความรู้สึกดังกล่าว เพียงทำหน้าบิดเบี้ยวแผ่วเบาโดยไม่สูญเสียความเยือกเย็น
อามุนด์ยิ้มพลางโปรยสิ่งที่อยู่ในมือลงไป
“กังวลมากเกินไปแล้ว จะลองเสี่ยงบ้างก็ได้นะ”
ไคลน์ที่ฟื้นคืนจากความเจ็บปวดยกมือขึ้นมาลูบหน้าผาก คล้ายกับหนอนแมลงทุกตัวในร่างกายกำลังร่ำร้องให้พักผ่อน
ระหว่างการถูกซาราธไล่ล่า พลังวิญญาณที่ไคลน์ยืมจากอดีตแทบเกลี้ยงหลอด และในภายหลัง มันยังใช้เทเลพอร์ตและอ้อมกอดเทวทูตเพื่อลบร่องรอยอีกหลายครั้ง ปัจจุบันจึงใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มที
หลังจากกลับถึงเขตปลอดภัย ความตั้งใจเดิมของชายหนุ่มก็คือ ขึ้นไปบนมิติหมอกเพื่อยืนยันความปลอดภัยของสภาพแวดล้อม จากนั้นก็ส่งตัวเองเข้านอนเพื่อฟื้นฟูกำลังวังชา แต่กลับต้องถูกอามุนด์ซุ่มโจมตีเสียก่อน ถูกยึดครองร่างกายและลากมายังดินแดนเทพทอดทิ้ง หากไม่ใช่เพราะเป็นคนที่ยิ่งสิ้นหวังจะยิ่งเยือกเย็น ป่านนี้มันคงหมดสติหรือไม่ก็แสดงสัญญาณของภาวะคลุ้มคลั่งไปแล้ว
“ผมอยากพัก…” ไคลน์ลดมือขวาลงและกล่าวอย่างใจเย็น
มันเชื่อว่าอามุนด์จะตอบรับคำขอ เพราะถ้ามันพยายามหลบหนีด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่มีแต่กลับยังล้มเหลว นั่นจะยิ่งสร้างความสุขให้กับเทพแห่งการกลั่นแกล้งได้มาก
“ตกลง” อามุนด์ชำเลืองเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปยังด้านข้างเนินเขา “พวกเรากำลังจะถึงจุดพักผ่อนในอีกไม่ช้า…แน่นอนว่าข้าไม่ถือสาหากเจ้าต้องการนอนกลางดิน ข้าเพียงคิดว่ามนุษย์อย่างเจ้าคงชอบพักผ่อนในจุดที่มอบความรู้สึกปลอดภัยมากกว่า”
“ไปกันเถอะ” เดิมที ไคลน์ต้องการควบคุมเปลวไฟในตะเกียงพร้อมกับใช้กระโจนไฟ แต่เนื่องจากพลังวิญญาณของมันใกล้เหือดแห้งเต็มที จึงไม่มีทางเลือกนอกจากเดินเท้าตามอามุนด์ บรรจงย่างกรายไปทีละก้าว
ระหว่างทาง ไคลน์หันไปพูดกับอามุนด์หลังจากผุดคำถาม
“ทำไมคุณถึงไม่ขโมยระยะทางและพาพวกเราไปถึงจุดหมายในทันที?”
อามุนด์หันมาจ้องไคลน์พลางขยับแว่นตาข้างขวา มุมปากยกโค้งเล็กน้อย
“ข้าไม่ใช่คนที่อยากพัก”
“…” ไคลน์ปิดปากเงียบ ทำเพียงก้าวไปข้างหน้าอย่างเงียบงัน
ผ่านไปราวสิบฟ้าผ่า อามุนด์ยกนิ้วขึ้นและชี้ไปด้านหน้าในแนวเฉียง
“ถึงแล้ว”
ในเงามืดบริเวณเนินเขาซึ่งห่างออกไปไม่ถึงร้อยเมตร ที่นั่นมีซากอาคารทรงคล้ายหอคอยหลายหลัง มีเสาหินที่สูงประมาทเข่าของไคลน์ตั้งเรียงรายหลายสิบต้น มีหย่อมวัชพืชจำนวนหนึ่งโตแทรกขึ้นมาตามช่องว่าง ปลายพืชมีสีแดงคล้ายเลือด
“เคยมีคนอาศัยอยู่ที่นี่?” ไคลน์ลูบหน้าผากพลางตั้งคำถาม
อามุนด์ใช้ข้อต่อที่สองของนิ้วชี้ขวาจับกรอบแว่น ยิ้มและพูด
“บริเวณนี้เคยเป็นเมืองใหญ่ แต่เมื่อเกิดมหาภัยพิบัติ แผ่นดินได้แยกออกจากกันจนทั้งเมืองถูกกลืนกิน เหลืองเพียงอาคารเหล่านี้ที่ยังเป็นหลักฐานของการดำรงอยู่”
การล่มสลายของอารยธรรม…ไคลน์ผุดความคิดดังกล่าวในหัว จากนั้นก็เร่งฝีเท้าจนกระทั่งมาถึงจุดหมายที่มีวัชพืชประหลาด
หลังจากเข้าไปในซากอาคาร ไคลน์มองไปรอบตัวตามสัญชาตญาณ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ