โดยไม่จำเป็นต้องมีใครพูด สี่ครึ่งเทพเข้าใจได้ตรงกันทันที:
ชายผู้มีส่วนสูงทัดเทียมคนยักษ์และกำลังหลับใหลบนบัลลังก์เหล็กดำ ไม่ใช่ใครนอกจากหัตถ์ซ้ายแห่งเทพ รองประมุขสวรรค์ เทวทูตมืดซาสเรีย!
จากบรรดาพวกมัน โลเฟียร์เป็นคนเดียวที่สัมผัสถึงแรงกดดันมหาศาลได้ชัดเจน เพราะนี่เป็นความรู้สึกแบบเดียวกับที่ได้รับเมื่อครั้งสวดวิงวอนถึงพระผู้สร้างแท้จริง ออร่าที่สามารถทำให้ความคิดของเธอกระจัดกระจาย ดวงวิญญาณเสื่อมทราม และร่างกายสั่นเทิ้ม
ทันใดนั้น เธอได้ยินใครบางคนระเบิดเสียงหัวเราะ จึงรีบหันไปมองด้านข้างด้วยความมึนงง
ไคลน์กำลังงอตัวขำ
“ท่านกำลังหลับอยู่… เราควรปลุกหรือรอให้ตื่นเองดี? และถ้าเลือกที่จะปลุก พวกเราควรทักทายท่านว่าอย่างไร? พระคุณเจ้าเทวทูตมืด? ท่านประมุขแห่งกุหลาบไถ่บาป?”
สองคำถามดังกล่าวอาจแฝงไว้ด้วยความโอหังและเย่อหยิ่ง แต่ก็ช่วยให้คนอย่างโคลินหลุดพ้นจากภาวะกดดันและสามารถวิเคราะห์สถานการณ์อย่างใจเย็น
หลายคนคิดหาคำตอบของคำถามแรกตามสัญชาตญาณ เพราะมันค่อนข้างสำคัญและเกี่ยวพันกับอนาคตของพวกตน
โคลินครุ่นคิดสักพัก:
“ตอนนี้อย่าเพิ่งปลุกท่าน พยายามเข้าใกล้และค้นหาเบาะแสเพิ่มเติม”
“คิดเหมือนกันเลย” ไคลน์ดีดนิ้วด้วยมือซ้ายพลางเดินไปทางบัลลังก์เหล็กดำ
ในเวลาเดียวกัน มันรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่สามารถฟื้นฟูดวงวิญญาณให้กลับมาสมบูรณ์ได้ก่อนจะเข้ามาสำรวจ ไม่อย่างนั้นคงมิอาจควบคุมพฤติกรรมไร้มารยาทที่เกิดจาก ‘บุคลิกเสมือน’ เพราะขณะกำลังคิดว่าควรทักทายอย่างไรดี ในหัวผุดคำหนึ่งขึ้นมาว่า: สวัสดีน้องสาว!
เมื่อเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์เดินไปข้างหน้าสองก้าว โลเฟียร์เริ่มได้สติกลับมา
“ฉันจะลองใช้ดวงวิญญาณที่ต้อนมา”
นี่เป็นวิธีที่ค่อนข้างปลอดภัยและช่วยลดความเสี่ยงให้กับสมาชิกทีมสำรวจ
ไคลน์ที่กำลังถือไม้เท้า พยักหน้าพลางหันข้างมายิ้มให้
ร่างมายาสูงเกือบสี่เมตรโผล่ขึ้นตรงหน้าโลเฟียร์ เหนือศีรษะมีเขาแพะที่สลักลวดลายลึกลับ ผิวสีดำด้านและเต็มไปด้วยบรรยากาศเลวทราม
เป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากปีศาจ
แตกต่างจากปีศาจที่ไคลน์เคยเห็นทั้งหมด บนร่างกายของมันมีร่องรอยการผุกร่อน หนองข้นสีเหลืองเขียวไหลย้อย ลักษณะคล้ายกับผสานเข้ากับคุณสมบัติ ‘การเสื่อมทราม’
หลังจากไคลน์จ้องร่างมายาหัวจรดเท้าสักพัก ปีศาจตนดังกล่าวสยายปีกคล้ายค้างคาวขนาดใหญ่พร้อมกับสร้างเปลวไฟสีฟ้าที่ดูเกรี้ยวกราดและเหม็นฉุนกลิ่นกำมะถัน
มันย่างกรายไปข้างหน้าและเดินบนขั้นบันไดที่สร้างมาเพื่อให้คนยักษ์ใช้งาน จากนั้นก็อาศัยลางสังหรณ์แจ้งเตือนอันตรายเพื่อสำรวจหาความผิดปรกติโดยรอบ
ระหว่างที่โคลิน ไคลน์ และอีกสองครึ่งเทพกำลังให้ความสนใจปีศาจ พวกมันก็ตรวจสอบรอบวังเงาแห่งนี้ไปพลาง เพียงไม่นานก็พบบานประตูคู่สีเทาน้ำเงินซ่อนอยู่ด้านหลังบัลลังก์เหล็กที่ซาสเรียกำลังบรรทม บนประตูมีภาพวาดเกี่ยวกับยามพระอาทิตย์ตก
นี่อาจเป็นประตูที่พาออกไปสู่โลกภายนอก… ความคิดแบบเดียวกันผุดขึ้นในหัวสามครึ่งเทพแห่งเมืองเงินพิสุทธิ์
ในเวลาเดียวกัน อสูรที่กำลังเดินสำรวจเกิดชะงักฝีเท้ากะทันหัน ทันใดนั้น ร่างของมันถูกรายล้อมด้วยประกายสายฟ้าก่อนจะระเบิดออกเป็นเศษซากและสลายไปท่ามกลางเสียง ‘เปรี้ยะ’ ที่ดังอย่างต่อเนื่อง
เสาลำแสงที่มีเกลียวเปลวไฟพันรอบ ผุดขึ้นจากความว่างเปล่าพร้อมกับชำระล้างดวงวิญญาณของปีศาจตนนั้นจนหมดจด
โลเฟียร์มิได้เสียใจที่ต้องสูญเสียวิญญาณแกะ เพียงขมวดคิ้วเล็กน้อยเนื่องจากยังคิดหาวิธีสำรวจที่ดีกว่านี้ไม่ได้
ไคลน์มองไปรอบตัวก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง
“อย่างที่คิด ผมต้องออกโรงเองเหมือนเคย”
ขณะกล่าวก็เดินไปข้างหน้าพร้อมกับล้วงหยิบกล่องไม้ขีด จากนั้นก็จุดทีละก้านและโปรยออกไปรอบทิศ
“อันที่จริง ผมค่อนข้างขี้อายนะ” หลังจากโยนไม้ขีดไฟไปครึ่งกล่อง ไคลน์หันหลังกลับมายิ้มให้ทุกคน
กระทั่งเดอร์ริค·เบเกอร์ก็ยังไม่ปักใจเชื่อประโยคเมื่อครู่
ถัดมา ท่ามกลางแสงสว่างจากเปลวไฟสีแดง ไคลน์ย่างกรายไปยังบัลลังก์เหล็กดำที่น่าจะเคยเป็นของเทพบรรพกาล
จนกระทั่งมาถึงจุดที่วิญญาณปีศาจถูกทำลาย ถุงมือซ้ายของมันกระชับขึ้นทันที
ไคลน์ก้มหน้าลงและพบว่ายุบพองหิวโหยได้เปลี่ยนกลับไปเป็นรูปลักษณ์หนังมนุษย์ กึ่งกลางฝ่ามือมีรอยแยกขนาดใหญ่และฟันซี่ขาวเรียงสวย
สมบัติปิดผนึกชิ้นนี้กำลังพยายามกัดกินเลือดเนื้อไคลน์และสูบวิญญาณเข้าไป
ยุบพองหิวโหยเสื่อมทราม!
“ชิ!” ไคลน์ออกอาการหงุดหงิดชัดเจนก่อนจะชำเลืองไปทางไม้เท้าดวงดาว มันยืนยันว่าสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ที่ไม่มีสัญญาณชีพชิ้นนี้ยังไม่กลายพันธุ์หรือแสดงท่าทีผิดปรกติ
จากนั้นก็ยกมือขวาขึ้นและใช้ส่วนปลายของไม้เท้าดวงดาวยัดใส่ปากยุบพองหิวโหย
ยุบพองหิวโหยกัดไม้เท้าสักพักก่อนจะสงบลงหลังจากสัมผัสถึงแรงกดดันจากตัวตนที่มีระดับสูงกว่า
หลังจากยืนขำสักพัก ไคลน์ก้าวไปข้างหน้าอีกครั้งเป็นระยะทางหลายเมตร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ