เมื่อตระหนักว่าเทวทูตมืดลืมตาตื่น ไคลน์พลันตึงเครียดและเต็มไปด้วยความหวาดระแวง แต่นั่นไม่ใช่ความกลัวหรือประหม่า เพราะชายหนุ่มยืนยันได้ว่าเทวทูตมืดตัวจริงกลับไปยังร่างต้นของเทพสุริยันเรียบร้อยแล้ว และหลังจากถูกวายุสลาตัน สุริยันเจิดจรัส และปัญญาความรู้หักหลัง พระองค์ได้สกัดอารมณ์สุดท้ายที่รุนแรงที่สุดออกมาผสานกับศพและเกิดใหม่กลายเป็นพระผู้สร้างแท้จริง ในเมื่อพระองค์ตัวจริงไม่ได้กลับมายังร่างบนบัลลังก์ สิ่งที่เหลืออยู่น่าจะมีเพียงจิตและเจตจำนงบางอย่าง
นอกจากนั้น ไคลน์เพิ่งพูดคุยกับจิตที่หลงเหลือของเทวทูตมืดอย่างเป็นกันเองโดยมิอาจสัมผัสถึงความมุ่งร้าย
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้เห็นอาวุโสโลเฟียร์แห่งเมืองเงินพิสุทธิ์เกิดคลุ้มคลั่งโดยมิอาจต่อต้านทันทีที่ซาสเรียลืมตาตื่น กลายร่างเป็นม่านเงาดำที่มีดวงตาว่างเปล่า ไคลน์อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากด้วยอาการตัวเกร็ง ความกลัวและสิ้นหวังอันท่วมท้นเอ่อล้นภายในใจ ราวกับกำลังเฝ้ามองตัวเองหล่นลงไปในหุบเหวโดยที่ไม่มีฟางช่วยชีวิต
ลำพังการ ‘ลืมตา’ โดยที่ไม่ได้ใช้พลังพิเศษหรือเผยร่างสัตว์ในตำนานก็มากพอจะทำให้ผู้วิเศษลำดับ 4 ของเส้นทางเดียวกันเกิดคลุ้มคลั่งคาที่ เพียงเรื่องนี้เพียงเดียวก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าอีกฝ่ายมีระดับตัวตนสูงเพียงใด!
สิ่งเดียวที่กำลังอยู่ในหัวไคลน์ตอนนี้มีเพียงสมญานามมากมายของอีกฝ่ายที่ตนเคยท่องจำ:
หัตถ์ซ้ายแห่งเทพ รองประมุขสวรรค์ ราชาเหนือราชาเทวทูต!
ใช่ว่าไคลน์จะไม่เคยเผชิญหน้าราชาเทวทูตมาก่อน ออกจะตรงกันข้าม มันเคยทำให้เมดีซีหวาดผวาและเคยเจรจาทำข้อตกลงกับอาดัม กุญแจที่ใช้เข้าสู่ตำหนักแห่งนี้ก็มาจากเทวทูตปัญญาเฮราเบอร์เก้น และเคยได้รับสูตรโอสถเส้นทางสุริยันจากเทวทูตสีขาวโอซาคุส เคยทำลาย ‘วังวนชะตากรรม’ ของโอโรเลอุสต่อหน้าเจ้าตัว และเคยเค้นสมองดิ้นรนเอาตัวรอดจากเทวทูตกาลเวลาอามุนด์ ไคลน์สมควรที่จะได้รับฉายา ‘มนุษย์ที่พานพบราชาเทวทูตมากที่สุดในโลก’
แต่จากบรรดาการพานพบทั้งหมด แทบไม่มีครั้งใดเลยที่เป็นการต่อสู้ ส่วนใหญ่เป็นการใช้ปราสาทต้นกำเนิดหลบหนีหรือไม่ก็ตัดการเชื่อมต่อกับอีกฝ่ายในพริบตา ไม่เคยต่อสู้กับราชาเทวทูตในเชิงความหมายที่แท้จริง อาจมีข้อยกเว้นเดียวที่พอจะนับได้คือการปะทะกับอามุนด์ประปรายในรอบหลายวันครั้ง
แต่การปะทะกับอามุนด์เกือบทั้งหมดเป็นการชิงไหวชิงพริบ ไม่ใช่ประจัญบานในเชิงกายภาพ และอามุนด์ผู้ชอบเล่นสนุกกับเหยื่อก็มักจะแสดงคุณสมบัติด้านการกลั่นแกล้งเป็นส่วนใหญ่ แทบไม่เคยปลดปล่อยพลังต่อสู้ที่แท้จริงต่อหน้าไคลน์ อาจมีอยู่หนึ่งครั้งที่อามุนด์เอาจริงที่สุด แต่นั่นก็ถูกขัดขวางไว้โดยเทพธิดารัตติกาลที่ชักใยบุตรชายราชาคนยักษ์ ช่วยป้องกันมิให้อามุนด์ทำร้ายไคลน์ได้โดยตรง
โดยหลังจากนั้น เมื่อไคลน์บังเอิญปะทะกับอามุนด์ระหว่างทางในดินแดนเทพทอดทิ้ง อามุนด์จะปิดบัญชีตัวช่วยที่แข็งแกร่งที่สุดที่ไคลน์เชิญได้ในง่ายดายเสมอ – สิ่งนี้คือปัญหาที่ไคลน์คิดไม่ตกมานาน อีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าเทวทูตที่มันรู้จักมากเกินไป และการอัญเชิญซาราธก็อาจส่งผลร้ายกับตัวไคลน์มากกว่าผลดี
ปัจจุบันโคลิน·อีเลียด ไคลน์ และเดอร์ริค กำลังเผชิญหน้ากับราชาเทวทูตรองประชุมสวรรค์ผู้เต็มไปด้วยความมุ่งร้าย – หัตถ์ซ้ายแห่งเทพผู้สามารถทำให้ครึ่งเทพลำดับ 4 คลุ้มคลั่งคาที่ได้ด้วยการลืมตา
การต้องสู้กับศัตรูในระดับนี้ ผู้เป็นเจ้าของสมญานามมากมายเช่นนี้ แล้วจะให้ไม่สิ้นหวังได้อย่างไร?
ความคิดแรกในหัวไคลน์ก็คือ มันจะทิ้งเดอร์ริคและเจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ไว้ที่นี่และหนีด้วย ‘ระบบส่งกลับด่วน’ ของปราสาทต้นกำเนิด จากนั้นก็อาศัยกระสุนหลอกลวงและปาฏิหาริย์ครั้งสุดท้ายเพื่อคืนชีพด้านนอกดินแดนเทพทอดทิ้ง
ท่ามกลางกระแสความคิด ชายหนุ่มยกไม้เท้าดวงดาวในมือขึ้น
ทันใดนั้น กระแสเงาดำที่เกิดจากการคลุ้มคลั่งของโลเฟียร์พลันหยุดนิ่ง ตามด้วยการส่งเสียงแฝงความเจ็บปวดแต่มิได้เสียสติ:
“เขาไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น!”
ขณะกล่าว ม่านเงาแยกออกจากกันและเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน:
ก้อนเลือดเนื้อดีดดิ้นที่สูงกว่าสองเมตร
ด้านบนสุดของก้อนเนื้อเป็นดวงตาสีเทาที่ดูราวกับกำลังก้มมองโลกอย่างเย็นชา แต่ดวงตาดังกล่าวยังหลงเหลือสติสัมปชัญญะอย่างชัดเจน
ส่วนที่เหลือของก้อนเลือดเนื้อประกอบด้วย แขน ต้นขา และน่องซึ่งมิได้หุ้มด้วยหนัง หากแต่เป็นเลือดข้น บางส่วนช่วยค้ำร่างกาย บางส่วนช่วยถือกะโหลกศีรษะมนุษย์สีขาว และบางส่วนหดเข้าไปรวมกับ ‘หน้าอก’
ม่านเงาร่วงลงมาอีกครั้งและปกคลุมก้อนเนื้อในลักษณะคล้ายผ้าคลุม
จากนั้น ร่างหนึ่งซึ่งสูงราวหกเมตรปรากฏขึ้นเบื้องหน้าโลเฟียร์
นี่คือวิญญาณมารอัศวินสีเงินที่เธอต้อน
แม้จะอยู่ในสภาพนี้ แต่หญิงสาวก็ยังควบคุมสติได้และสามารถโจมตีใส่เทวทูตมืดซาสเรียได้ด้วย
เมื่อเห็นฉากตรงหน้า และเมื่อนำไปผนวกกับคำพูดของโลเฟียร์เมื่อครู่ ไคลน์กับโคลินเข้าใจความหมายได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้เธออธิบาย
เทวทูตมืดซาสเรียมิได้แข็งแกร่งเทียบเท่าตัวตนเดิมของมัน ร่างปัจจุบันสามารถใช้ได้เพียงอำนาจในขอบเขตความเสื่อมทราม นอกจากนั้นยังสามารถสร้างอิทธิพลข่มขวัญผู้วิเศษลำดับต่ำกว่าของเส้นทางเดียวกันเพื่อเปลี่ยนให้ร่างกายโลเฟียร์เสื่อมทราม ทรยศ และคลุ้มคลั่งคาที่ แต่ดวงวิญญาณของหญิงสาวยังเป็นปรกติ สติยังคงกระจ่างชัดและใช้พลังของตัวเองได้ในระดับหนึ่ง
แต่แน่นอน เนื่องจากร่างเนื้อกลายพันธุ์โดยสมบูรณ์ การกัดกร่อนที่รุนแรงย่อมส่งผลไปถึงดวงวิญญาณ ใช้เวลาเพียงนานโลเฟียร์ก็จะเสียสติโดยสมบูรณ์ แต่ก็ยังพอมีทางรักษาหากรีบปิดบัญชีศัตรูและหาทางทำให้เธอกลายเป็นวิญญาณมาร จากนั้นค่อยหาโอกาสคืนชีพ
เมื่อนำข้อมูลข้างต้นไปเชื่อมโยงกับการได้เห็นศิลาเย้ยเทพแผ่นแรก ไคลน์พอจะเห็นเค้าลางของร่างจริงศัตรู:
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ