ขณะมองลงไปยังชั้นล่าง แคทลียาถอนสายตากลับและเดินออกจากห้องกัปตัน ตรงไปยังทางเข้าเขตห้องโดยสาร รอจนกระทั่งแฟรงค์·ลีเดินเข้ามาหาในสภาพถือถังเบียร์
“กัปตัน สักแก้วไหม?” แฟรงค์ถามขณะยกถังเบียร์ด้วยมือหนึ่งข้าง
แคทลียาส่ายหน้าหนักแน่น ตามด้วยถามอย่างเป็นกันเอง
“นี่ก็เป็นเจตจำนงของมารดาผู้มีพระคุณเหมือนกันหรือ”
“เปล่า” แฟรงค์ตอบด้วยสีหน้าขึงขัง “ผมแค่คิดว่า การดื่มเบียร์ที่ปนเปื้อนยาระงับประสาทรุ่นปรับปรุงเป็นเวลานานยังสร้างผลเสียต่อร่างกายอยู่บ้าง จึงอยากให้พวกเขาหันมาดื่มของมึนเมาแบบไม่มีแอลกอฮอล์… ตอนนี้ยังเป็นแค่ตัวต้นแบบของเบียร์ปลอดแอลกอฮอล์ ข้อเสียเดียวคือไม่สามารถกลั่นเพื่อเพิ่มรสชาติได้”
แคทลียาไม่รู้ว่าควรตกใจในเรื่องไหนก่อนดี ท้ายที่สุด เธอผลักแว่นเลนส์หนาบนสันจมูกพลางกล่าว
“นายเคยได้รับนิมิตหรือวิวรณ์จากมารดาผู้มีพระคุณบ้างไหม?”
“ไม่เคย” แฟรงค์ส่ายหน้า
ฟู่ว… แคทลียาถอนหายใจเงียบอย่างโล่งอก
แฟรงค์เป็นฝ่ายพูดเสริมด้วยท่าทีผ่อนคลาย
“เจตจำนงของมารดาผู้มีพระคุณนั้นดังมาจากรวงข้าวสาลี น้ำนมวัว เห็ด และในซอกทุกมุมของธรรมชาติ สามารถสัมผัสได้โดยตรงโดยไม่ต้องผ่านวิวรณ์”
แคทลียาจ้องเข้าไปในดวงตาแฟรงค์ แต่ก็ไม่พบความบ้าคลั่ง มีเพียงความใส่ซื่อบริสุทธิ์
หญิงสาวไม่กล่าวคำใดเพิ่มเติม เพียงพยักหน้าและเดินผ่านแฟรงค์ไปทางดาดฟ้าเรือ
หลังจากดื่มด่ำทิวทัศน์ท้องทะเลนานหลายนาที หญิงสาวกลับไปยังห้องกัปตัน คลี่กระดาษจดหมายขึ้นมาเขียน:
“คุณคิดเห็นอย่างไรกับพฤติกรรมของแฟรงค์บ้าง? เขาอ้างว่าไม่ได้รับนิมิตหรือวิวรณ์จากมารดาผู้มีพระคุณ แต่ได้ฟังเจตจำนงของพระองค์ผ่านทุกส่วนของธรรมชาติ”
นี่เป็นจดหมายถึงเกอร์มัน·สแปร์โรว์ แคทลียาเชื่อว่าการเสริมคำถามลงไปจะช่วยให้อีกฝ่ายเข้าใจความนัยแฝงของตน
พับจดหมายเสร็จ หญิงสาวหยิบเหรียญทองคำออกมาและเริ่มอัญเชิญผู้ส่งสารที่น่าสะพรึง
…
มาดามเฮอร์มิทส่งจดหมายทันทีที่จบชุมนุมทาโรต์… ไม่น่าจะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับปราชญ์เร้นลับ ไม่มีทางเร็วขนาดนี้แน่… ปัจจุบัน ไคลน์กำลังโดยสารเรือกลไฟไปบนแม่น้ำทัสซอค
แต่งกายในชุดคลุมสีดำ ชายหนุ่มรับกระดาษจดหมายจากมิสผู้ส่งสาร คลี่ออกอ่านและกวาดสายตารวดเร็ว
นี่มัน… ไคลน์ขมวดคิ้วทันที
คงเป็นเพราะแฟรงค์ในยามปรกติมักเป็นตัวอันตรายจนใกล้เคียงกับคำว่าเสียสติ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะมีใครคิดว่า ‘ดรูอิด’ รายนี้ถูกล่อลวงโดยมารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทรามไปแล้ว
แฟรงค์เคยถูกส่งขึ้นศาลของโบสถ์พระแม่ธรณีในข้อหาทำการทดลองต้องห้าม… หากพระแม่ธรณีไม่ถูกกัดกร่อน และกระบวนการภายในโบสถ์ไม่มีการกลั่นแกล้ง ก็หมายความว่าแฟรงค์เป็นตัวปัญหาจริงๆ … แต่ว่า ถ้าหลักฐานชัดเจนขนาดนั้น แล้วทำไมแฟรงค์ถึงยังรอดชีวิตหลังจากขึ้นศาล? ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์พยายามวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับแฟรงค์ที่ตนมี
พฤติกรรมอื่นของแฟรงค์ไม่มีความผิดปรกติ สัญลักษณ์มือในการสรรเสริญเทพของแฟรงค์อาจแตกต่างจากคนอื่นเล็กน้อย แต่นั่นก็เป็นกันทุกโบสถ์ เพราะแม้แต่ผู้วิเศษของโบสถ์รัตติกาลเอง ก็ใช่ว่าทุกคนจะแตะครบสี่จุด บางคนแตะแค่จุดสุดท้ายจุดเดียว…
นอกจากปัญหาอยู่หนึ่งเรื่อง ที่เหลือแฟรงค์ดูธรรมดามาก แต่ปัญหาที่ว่าก็คือ แฟรงค์ชอบทำตัวเหมือนกับเป็นเด็กที่ถูกมารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทรามเลี้ยงดูมา… ไตร่ตรองสักพัก ไคลน์คาดเดาได้สองแง่มุม:
อาจเป็นไปได้ทั้ง การกัดกร่อนในตัวแฟรงค์ตรวจพบได้ยากมาก จนแม้แต่โบสถ์พระแม่ธรณีก็มองไม่เห็น หรือไม่ก็ แฟรงค์ไม่เคยถูกมารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทรามกัดกร่อนมาตั้งแต่ต้น สิ่งเดียวที่เป็นปัญหาคือสมองของแฟรงค์ซึ่งชอบทำตัวเหมือนข้ารับใช้เทพมาร….Aileen-novel.
โดยไม่เสียเวลาคิดหาคำตอบ ไคลน์เชื่อว่าทั้งสองแง่มุมต่างก็ไม่ใช่เรื่องดีทั้งคู่
มันยังไม่ลืม แฟรงค์สามารถเอาชนะอุปสรรคสุดท้ายและสร้างเห็ดในอุดมคติของไคลน์ได้สำเร็จ เพราะแคทลียาจัดหาผู้ช่วยซึ่งเป็นสาวกของดวงจันทร์บรรพกาลมาให้ และดวงจันทร์บรรพกาลคือหนึ่งในอวตารของมารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทราม
กล่าวคือ นับแต่นั้นเป็นต้นมา ต่อให้แฟรงค์ไม่เคยเป็นตัวปัญหามาก่อน แต่ก็มีโอกาสสูงที่มันจะถูกจับตามองโดยมารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทราม
และนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ดี
แต่อย่าเพิ่งตัดความเป็นไปได้ที่ว่า แฟรงค์อาจบ้าบิ่นเกินไปจนมารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทรามยกธงขาวและถอนสายตากลับ… ไคลน์รำพันติดตลก หวังจากก้นบึ้งให้ผลลัพธ์ลงเอยเช่นนี้
แต่นั่นคงเป็นไปไม่ได้… สามัญสำนึกและวิธีคิดของเทพภายนอก ไม่ใช่สิ่งที่ครึ่งเทพสามารถทำความเข้าใจ…
ไคลน์ผุดข้อสันนิษฐาน: หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าสมอของทวยเทพจะถูกทำลาย จนเทพทุกตนล้วนเสียสติและหันมาห้ำหั่นกันเอง จนตะกอนพลังไหลมารวมเป็นหนึ่งและทำให้ ‘มหาต้นกำเนิด’ คืนชีพ เทพภายนอกคงไม่มัวเสียเวลาแทรกแซงผ่านบาเรียของโลก แต่จะเลือกทำลายดวงอาทิตย์โดยตรงเพื่อปั่นป่วนระบบนิเวศของโลก ต้องไม่ลืมว่าข้อจำกัดของพวกมันมีแค่โลก นอกเหนือจากนั้น เทพภายนอกสามารถทำตามอำเภอใจได้โดยไม่มีใครขัดขวาง
ในบางครั้ง ไคลน์ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ดวงอาทิตย์ที่นักดาราศาสตร์มองเห็นเป็นของจริงหรือไม่ หรือความจริงแล้วเป็นสุริยันเจิดจรัสที่นำตัวเองไปแขวนไว้บนนั้น
เห็ดที่แฟรงค์สร้างยังไม่เผยปัญหาใดจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งเรายังฆ่าเชื้อโรคทั้งหมดบนมิติหมอกแล้ว… นอกจากนั้น ยังไม่มีความผิดปรกติใดเกิดกับชาวเมืองเงินพิสุทธิ์และจันทรา และหลังออกจากดินแดนเทพทอดทิ้ง พวกเขาก็เลิกเพาะเห็ด เพราะไม่มีศพสัตว์ประหลาดเป็นแหล่งอาหาร… ยิ่งครุ่นคิดร่างกายไคลน์ก็ยิ่งหนาวสั่น
หากไม่ใช่เพราะพลังในการทะลุทะลวงบาเรียของมารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทรามยังมีขีดจำกัด ไคลน์เชื่อว่าป่านนี้ไพ่เย้ยเทพที่ตนรวบรวมมาได้ รวมถึงเห็ดของแฟรงค์ คงทำให้ตนถูกกัดกร่อนจนเจ้าของปราสาทต้นกำเนิดเปลี่ยนมือโดยไม่รู้ตัว
แต่ตอนนี้สบายใจได้ พวกมันถูกเก็บไว้บนมิติหมอกเป็นเวลานานโดยมิได้แสดงความผิดปรกติใด
เมื่อเปรียบกับมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายที่เปิดเผยและโจ่งแจ้งมากกว่า มารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทรามซึ่งคอยแทรกซึมทุกสิ่งอย่างลับๆ นั้นน่าสะพรึงกลัวกว่าหลายเท่า!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ