มือข้างหนึ่งถือถุงทำจากหนัง ส่วนอีกข้างกำลังถือขวานเฮอร์ริเคน เดอร์ริค·เบเกอร์หยุดยืนด้านหน้าทางเข้าขนาดใหญ่พร้อมกับเพื่อนร่วมทีมอีกเกือบสิบ
เมื่อแหงนหน้าขึ้นไป ระหว่างร่องของลวดลายหินบนกำแพง เดอร์ริคมองเห็นดินดำอุดตันในสภาพแห้งกรัง หญ้าสีดำงอกแซมออกมาหลายพุ่ม มอบความรู้สึกน่าขนลุกคล้ายกระจุกเส้นผมของมนุษย์
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังจากประตูทางเข้า เด็กหนุ่มกับพวกพ้องรีบหันไปมอง
ท่ามกลางฉากหลังสว่างสลับมืด ชายร่างใหญ่สะพายดาบสองเล่มไขว้กันด้านหลัง กำลังย่างกรายมาทางกลุ่มของเดอร์ริคอย่างไม่รีบร้อน
บุรุษคนดังกล่าวมีสีผมขาวซีดไม่เป็นทรง ดวงตาลุ่มลึกแฝงความกร้านโลก รอยแผลบนแก้มเป็นร่องลึกและไม่เรียบเนียน สวมเสื้อโค้ทสีน้ำตาลตัวเก่งและเชิ้ตป่านสีขาว
ชายผู้กำลังย่างกรายเข้าใกล้ไม่ใช่ใครนอกจากผู้นำสูงสุดคนปัจจุบันแห่งเมืองเงินพิสุทธิ์ อาวุโสใหญ่ประจำสภาอาวุโส โคลิน·อีเลียด นักล่าปีศาจสุดทรงพลัง
หลังจากทักทายเสร็จ เดอร์ริคก้มมองเอวของท่านผู้นำ และพบกับเข็มขัดหนังซึ่งเต็มไปด้วยช่องสำหรับสอดขวดโลหะจำนวนมาก
สิ่งนี้คือเครื่องพิสูจน์ความแข็งแกร่งและประสบการณ์ของลำดับ 4 ‘นักล่าปีศาจ’
เดอร์ริคเคยได้ยินพ่อกับแม่เล่าให้ฟังว่า นักล่าปีศาจเชี่ยวชาญด้านการจับจุดอ่อนของสัตว์ประหลาดแทบทุกชนิด และอาศัยญาณพิเศษในการรับมือกับสัตว์ประหลาดเหล่านั้น แต่ถ้าพลังญาณพิเศษยังไม่เพียงพอ นักล่าปีศาจจะต้องพึ่งพายาวิเศษ ขี้ผึ้งศักดิ์สิทธิ์ น้ำมันสกัด หรือตราประทับ วิธีใช้งานมีหลากหลาย เช่นการดื่มเข้าปาก ทาลงบนดาบ หรือไม่ก็ราดลงบนดาบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นงานจุดอ่อนศัตรู
ความสามารถข้างต้นทำให้นักล่าปีศาจกลายเป็นของแสลงสำหรับสัตว์ประหลาดแทบทุกสายพันธุ์บนโลก และจำนวนขวดโลหะบนเข็มขัดก็หมายถึง ‘ประสบการณ์’ หรือความช่ำชองของแต่ละคน
แน่นอน รายละเอียดข้างตนเป็นเพียงเศษเสี้ยวพลังของนักล่าปีศาจ ไม่อย่างนั้นโอสถชนิดนี้คงไม่ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ครึ่งเทพ
โคลินมองไปรอบตัวเพื่อยืนยันว่าสมาชิกทุกคนอยู่กันครบ จึงค่อยออกคำสั่งด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“เริ่มจุดไฟ ถึงเวลาเดินทางแล้ว”
ทันใดนั้น สมาชิกจำนวนสองคนทำการจุดเทียนไขภายในตะเกียงหนัง ตะเกียงชนิดนี้มีโครงเป็นโลหะ แต่ใช้แผ่นหนังบางเฉียบล้อมรอบสี่ทิศแทนกระจก
ในยามกลางวัน ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ไม่มีความจำเป็นต้องจุดเทียน เนื่องจากสายฟ้าจะมอบความสว่างในทุกสองถึงสามวินาที ไม่เพียงเท่านั้น หน่วยลาดตระเวนยังหมั่นกำจัดสัตว์ประหลาดรอบเมืองอย่างสม่ำเสมอ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกลอบโจมตี แต่เมื่อย่างเข้าสู่ยามกลางคืน เทียนไขคือสิ่งห้ามขาด เพราะถ้าปล่อยให้ความมืดสนิทปกคลุมนานเกินกว่าห้าวินาที จะมีโอกาสถูกสัตว์ประหลาดลอบทำร้ายในอัตราสูงมาก
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์น่ากลัวอันดับหนึ่งขณะถูกความมืดปกคลุมมิใช่การถูกสัตว์ประหลาดลอบทำร้าย
เดอร์ริคยังจำเรื่องเล่าสยองขวัญจากปากพ่อและแม่ได้อย่างแม่นยำ
ย้อนกลับไปสมัยพวกเขายังหนุ่มสาว ทั้งคู่อยู่ในทีมสำรวจ และได้รับภารกิจสำรวจลึกเข้าไปในดินแดนอันมืดมิด หลังจากผ่านการต่อสู้กับกองทัพซากศพอย่างยาวนาน ตะเกียงเทียนไขของหน่วยได้หมดลงและเปลี่ยนของใหม่เข้าไปไม่ทันเวลา ความมืดจึงเข้าปกคลุมนานถึงแปดวินาทีเต็ม เมื่อได้รับความสว่างกลับคืนมา สมาชิกของหน่วยได้เหลือเพียงห้า จากเดิมมีแปด และสามคนดังกล่าวมิได้ปรากฏตัวออกมาอีกเลยหลังจากนั้น
เดอร์ริคสูดลมหายใจยาวเข้าปอดพร้อมกับเดินรวมกลุ่มไปกับเพื่อนร่วมทีม ตามหลังผู้นำสูงสุดไปยังทิศทางตามคำสั่ง
เหนือท้องฟ้าด้านบน สายฟ้ากำลังผ่าแลบ มอบความสว่างฉาบทุ่งโล่งซึ่งมีต้นหญ้าสีดำมืดปกคลุม ฉากดังกล่าวงดงามราวกับภาพวาดสีน้ำมันของจิตรกรชื่อดัง
หน่วยสำรวจประกอบด้วยผู้วิเศษสิบชีวิตเดินเรียงกันไปตามทางเดินซึ่งโรยด้วยก้อนกรวด เป้าหมายของพวกมันคือการสำรวจลึกเข้าไปในความมืดมิดอันไร้ก้นบึ้ง
เมื่อสายฟ้าด้านบนหยุดลง บรรยากาศสีดำเข้มข้นได้เข้ามาปกคลุมเกือบทุกซอกมุมของโลกรอบตัว จุดกำเนิดแสงแหล่งสุดท้ายคือตะเกียงเทียนไขหนังสัตว์ประหลาดในมือ
แสงเทียนส่องผ่านแผ่นหนังบางเฉียบ เปลวเทียนกำลังไหววูบอย่างอ่อนโยน ช่วยรักษาชีวิตทุกคนในบริเวณใกล้เคียงเอาไว้
…
เขตตะวันออก ด้านในร้านกาแฟสภาพเก่าโทรมและมันเลื่อม
จากการนัดหมายในคราวก่อน ไคลน์เดินเข้ามาในร้านและพบกับเฒ่าโคห์เลอร์ผู้กำลังปาดเนยลงบนแผ่นขนมปังปิ้ง
ชายหนุ่มชำเลืองซากบุหรี่ยับยู่ยี่บนโต๊ะพลางซักถามด้วยรอยยิ้ม
“เพิ่งซื้อมาหรือ?”
“เปล่า ผมพกติดตัวมานานแล้ว นับตั้งแต่เลิกสูบถาวร เพียงหยิบออกมาดมบ้างเป็นบางคราวเพื่อสูดกลิ่น ฮะฮะ! เวลาดมแล้วทำให้นึกถึงชีวิตอันน่าสมเพชในอดีต ย้อนกลับไปตอนนั้น ผมต้องใช้ชีวิตอยู่บนความหวาดระแวงโดยไม่รู้ว่าจะตายตอนไหน” น้ำเสียงของโคห์เลอร์เจือความกลัวเล็กน้อย
ไคลน์นำเศษเหรียญจำนวนยี่สิบซูลซึ่งแลกเตรียมไว้ออกมาวางกองบนโต๊ะ จากนั้นก็ผลักไปหาอีกฝ่ายขณะทิ้งตัวนั่งลง
“ผมพอใจกับข้อมูลคราวก่อนมาก”
โดยไม่รอให้เฒ่าโคห์เลอร์ถ่อมตัว ชายหนุ่มหันไปทางเคาน์เตอร์และตะโกน
“เจ้าของร้าน ขอขนมปังข้าวโอ๊ตหนึ่งแถว ขนมปังปิ้งสองชิ้น เนยหนึ่งก้อน สเต๊กเนื้อมันฝรั่งหนึ่งจาน และชาเพนนีหนึ่งถ้วย”
ชาเพนนีคือชาราคาหนึ่งเพนนี
“มิสเตอร์โมเรียตี้ เมื่อคืนคุณไม่ได้กินข้าวมาหรือ?” โคห์เลอร์ทำหน้าประหลาดใจพลางใช้มือโกยเหรียญ
ไคลน์ส่ายหัวและยิ้ม
“หลังจากช่วงสายของวันนี้ ผมคงงานยุ่งยาวไปจนถึงช่วงเย็น ไม่น่าจะมีเวลาแวะกินอาหารกลางวัน”
มันจำเป็นต้องแสร้งขยันสืบข่าวการตายของทาลิม เพราะไม่ว่าอย่างไรก็รับเงินจากองค์ชายเอ็ดซัคมาแล้วหนึ่งร้อยปอนด์
เฒ่าโคห์เลอร์ไม่สานต่อบทสนทนา เพียงตั้งใจเก็บเหรียญเข้ากระเป๋าเสื้ออย่างเป็นระเบียบ พลางขยับปากแจกแจงสถานการณ์ในรอบสัปดาห์หลัง
“มีความคืบหน้าเล็กน้อยเกี่ยวกับเงินค่าหัวของอะซิก·อายเกส ได้ยินว่าหัวหน้าแก๊งอันธพาลและพ่อค้าข่าวบางรายเป็นคนตั้งรางวัลนำจับ แต่ผมไม่ทราบลึกไปกว่านี้ ยังหาโอกาสติดต่อคนเหล่านั้นไม่ได้”
MI9… ไคลน์พยักหน้า
“พอแล้ว ไม่ต้องสืบลึกกว่านี้ มันอันตรายเกินไปสำหรับคุณ”
โคห์เลอร์ถอนหายใจผ่อนคลาย
“สองวันก่อนบนถนนผ้าคลุมทอง ใครบางคนพบเบาะแสของอะซิก·อายเกสในโรงแรมราคาถูกแห่งหนึ่ง ข่าวลือระบุว่าอีกฝ่ายมีใบหน้าตรงตามใบค่าหัวทุกประการ”
“…”
หัวใจไคลน์พลันเต้นระรัว แต่ภายนอกเผยเพียงรอยยิ้ม มิใช่อาการตื่นตระหนก
“แล้วหลังจากนั้น? อย่าบอกนะว่าพอผมคิดจะร่วมวงค้นหา ภารกิจก็ถูกปิดทันที?”
“หลังจากนั้น นักล่าค่าหัวทั่วเขตตะวันออกต่างวนเวียนไปยังโรงแรมดังกล่าว แต่ก็ไม่มีใครพบเบาะแสใด จริงสิ ได้ยินว่าภายในห้องมีสัญญาณการต่อสู้” เฒ่าโคห์เลอร์พยายามนึกเค้นความทรงจำ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เบาะแสคงถูกส่งไปหา MI9 เป็นอันดับแรก… มิสเตอร์อะซิกกำลังบาดหมางกับกองทัพจริงหรือ? แล้วผลลัพธ์การต่อสู้ออกมาเป็นเช่นไร…
ไคลน์ชำเลืองไปทางเจ้าของร้านผู้กำลังยกอาหารใส่ถาดมาเสิร์ฟ ก่อนจะกระซิบกับโคห์เลอร์โดยจงใจให้คนนอกได้ยิน
“ช่วยพาผมไปยังโรงแรมบนถนนผ้าคลุมทองด้วย บางทีอาจพบร่องรอยเพิ่มเติม”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ