“เกี่ยวกับเดอะฟูลยังไง?”
“ข้าพูดมากกว่านี้ไม่ได้” เอ็มลินส่ายหน้า
ด้วยความกังวลว่าอีกฝ่ายอาจระแคะระคาย ไคลน์ตัดสินใจไม่ซักไซ้ เพียงวิเคราะห์ข้อมูลอย่างผิวเผินตามคำบอกเล่าของเอ็มลิน
เป็นเรื่องเกี่ยวกับเดอะฟูล… ช่วยให้เอ็มลินหลุดพ้นจากปัญหา… มีความเสี่ยงสูง…
เมื่อลองนำปัจจัยทั้งหมดมาประกอบเข้าด้วยกัน ดูเหมือนว่าเอ็มลินจะเตรียมประกอบพิธีกรรมวิงวอนถึงเดอะฟูล จุดประสงค์เพื่อขจัดการชี้นำทางใจของหลวงพ่อยูทรอฟสกี้…
แต่เอ็มลินมิได้เป็นผู้ประกอบพิธีกรรมด้วยตัวเอง ยังมี ‘คนใหญ่คนโต’ คอยให้คำปรึกษาอยู่เบื้องหลัง… เมื่อประเมินว่าแวมไพร์ทระนงตนอย่างเอ็มลินไม่ชื่นชมใครส่งเดช มีโอกาสเป็นไปได้มากว่า คนใหญ่คนโตดังกล่าวคือสิ่งมีชีวิตระดับครึ่งเทพของเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือด…
แล้วทำไมสมาชิกคนสำคัญของผีดูดเลือด ถึงต้องการให้ทายาทอ่อนแออย่างเอ็มลิน เป็นตัวแทนสวดภาวนาถึงเดอะฟูล…? พวกมันกำลังร่วมมือกับชุมนุมแสงเหนืออยู่รึไง…
ไคลน์ยังคงสับสน มันนั่งจ้องหน้าเอ็มลินสักพัก ก่อนจะรำพันติดตลก
คิดว่าฉันจะยอมให้ความฝันของนายเป็นจริงได้ง่ายขนาดนั้นเชียว?
ชายหนุ่มก้มหน้าลังเลราวสองวินาที และตัดสินใจยังไม่มอบคำแนะนำ เพียงทดสอบโน้มน้าวเบื้องต้น
“ในทางสถิติ การสวดวิงวอนถึงตัวตนลึกลับโดยไม่มีข้อมูลมาก่อน… สามสิบจากหนึ่งร้อยรายจะไม่ได้รับการตอบสนอง หกสิบแปดรายต้องเผชิญกับเรื่องเลวร้ายจนถึงแก่ความตาย หรือไม่ก็แย่กว่านั้น มีเพียงสองรายที่ประสบความสำเร็จ ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ แต่ก็ต้องยอมจ่ายในราคาแสนแพงเช่นกัน”
จากการเป็นนักรบคีย์บอร์ดสมัยโลกเก่า ชายหนุ่มทราบเป็นอย่างดีกว่า หากมีการถกเถียงหาข้อสรุป ฝ่ายใดมีสถิติในเชิงตัวเลขมาแสดงให้เห็น จะสร้างความเชื่อถือได้มากกว่าอีกฝั่งหลายเท่า สิ่งนี้คือลูกไม้ตุกติกเล็กน้อยในการสร้างความได้เปรียบขณะสนทนา และส่วนมากมักมาพร้อมวลียอดนิยมอย่าง ‘เพื่อนให้เล่าฟัง’ ‘ฟังมาอีกที’ หรือไม่ก็ ‘ข้อมูลจากคนวงใน’
เพื่อจะโน้มน้าวเอ็มลินให้คล้อยตาม ไคลน์จำเป็นต้องกุสถิติขึ้นมาอ้างให้สมจริง
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเมื่อครู่มิได้เลื่อนลอยเสียทั้งหมด เป็นการอ้างอิงสถิติจากเอกสารลับสมัยทำงานกับเหยี่ยวราตรี
“สำเร็จแค่สองรายเองหรือ… แถมยังเกิดปัญหามากถึงหกสิบแปดราย?” เอ็มลินพลันสั่นเทา มันอดเลื่อนมือขึ้นมาสางผมไม่ได้
“นั่นคือค่าพื้นฐาน ยังมีปัจจัยด้านเหตุผลในการสวดวิงวอนรวมอยู่ด้วย หากนายมีเจตนาร้าย โอกาสประสบเคราะห์กรรมก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมาก”
ไคลน์ตอบกลับด้วยสีหน้า ‘จริงใจ’
เอ็มลินรีบส่ายหัว
“ไม่ใช่ ข้าไม่มีเจตนาร้าย ถ…แถมคนใหญ่คนโตยังรับปากว่าจะคอยปกป้องขณะประกอบพิธีกรรม”
ไม่มีเจตนาร้าย? หืม… ต่อให้นายไม่มีเจตนาร้าย แต่คนข้างหลังนายก็ไม่แน่…
เหนือสิ่งอื่นใด เอ็มลินเป็นเพียงทหารเลวในแนวหน้าซึ่งแม่ทัพส่งมาตายชุดแรกเพื่อหยั่งเชิง…
ไคลน์ยกมือขวาขึ้นพร้อมกับออกท่าทางเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้คำพูด
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ความเสี่ยงก็จะลดลงมาก แต่ยังไม่กลายเป็นศูนย์อยู่ดี แล้วก็… คนใหญ่คนโตของคุณ เตรียมรับมืออันตรายจากตัวตนลึกลับได้อย่างมีประสิทธิภาพแน่หรือ”
“ก็… คงไม่” เอ็มลินตอบตะกุกตะกัก
“ถ้าอย่างนั้น…” ไคลน์ผายมือ
ตามด้วยการเผยรอยยิ้ม
“เอ็มลิน คุณไม่จำเป็นต้องนำตัวเองเข้าไปเสี่ยงเลยสักนิด ถึงจะกลายเป็นสาวกของโบสถ์พระแม่ธรณีแล้วยังไง ชีวิตคุณก็ไม่ได้แย่ลงสักหน่อย ดูตัวอย่างได้จากชาวเมืองเฟเนพ็อต พวกเขายังสามารถกิน ดื่ม เที่ยว แต่งตัวได้ตามปรกติไม่ใช่หรือ เมื่อวันนั้นมาถึง ผมเชื่อว่าหลวงพ่อยูทรอฟสกี้จะเลิกบังคับให้คุณไปช่วยงานในวิหารฤดูเก็บเกี่ยว และนั่นคือจุดเริ่มต้นของอิสรภาพ และเหนือสิ่งอื่นใด ผมเชื่อว่าคุณคงศึกษาตำราไปพอสมควรแล้ว คงตระหนักได้ว่าคำสอนของโบสถ์พระแม่มิได้เลวร้ายขนาดนั้น”
เอ็มลิน·ไวท์ทำหน้าเคร่งเครียดสักพัก
“การเป็นสาวกของท่านเพราะศรัทธาในคำสอนและความเชื่อ ไม่เหมือนกับการเป็นสาวกเพราะถูกบังคับด้วยการชี้นำทางใจ… แม้ว่าสักวันหนึ่ง ข้าจะทอดทิ้งจันทราและหันไปนับถือพระแม่ธรณี แต่ก็หวังว่านั่นจะเป็นการตัดสินใจด้วยตัวเอง มิใช่เพราะถูกปัจจัยภายนอกรบเร้า นี่เป็นศักดิ์ศรีสุดท้ายของผีดูดเลือดอันสูงส่ง”
ไคลน์จ้องเอ็มลินด้วยสีหน้าประหลาดใจเป็นเวลานาน ชายหนุ่มคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะยึดมั่นเช่นนี้
หลังจากครุ่นคิดสองสามวินาที ชายหนุ่มตัดสินใจเลิกโน้มน้าวเอ็มลิน ทำเพียง ‘หึ’ ในลำคอและกล่าวต่อ
“ปัญหาไม่ซับซ้อน อุปสรรคสุดท้ายคือความกล้าของคุณ เพราะในเมื่อเป็นคำสั่งจากคนใหญ่คนโต รวมถึงเป็นความต้องการจะขจัดการชี้นำทางใจของตัวเอง ไม่ว่าอย่างไร คุณก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจาก ‘ทำ’ คำถามก็คือ คุณกล้าเอาชีวิตของตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับอนาคตอันสดใสหรือไม่ สำหรับเรื่องนี้ ไม่มีใครตอบคำถามได้ดีกว่าตัวคุณอีกแล้ว”
เอ็มลินนั่งฟังด้วยสีหน้าดำมืด พลางใช้น้ำเสียงเชิงโต้แย้ง
“เจ้ากำลังเข้าใจผิด หากข้าเลือก ‘ทำ’ ประโยชน์จะไม่ได้ตกอยู่กับข้าผู้เดียว แต่เป็นเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดทั้งหมด! การขจัดปัญหาส่วนตัวเป็นเพียงผลพลอยได้ผิวเผินเท่านั้น!”
เพื่อช่วยเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดทั้งหมด? เดอะฟูลเก๊อย่างเราจะช่วยอะไรผีดูดเลือดได้…
ไม่ผิดแน่ คนใหญ่คนโตคงกำลังหลอกใช้นายด้วยจุดประสงค์บางอย่าง…
ไคลน์เย้ยหยัน
“แล้วทำไมคุณถึงยอมเชื่อว่า ลำพังแวมไพร์หนุ่มอ่อนแอตนหนึ่ง จะเปลี่ยนโชคชะตาของทั้งเผ่าพันธุ์ได้สำเร็จ”
“ผีดูดเลือด! ผีดูดเลือด!” เอ็มลินเน้นเสียงหนักแน่น “ยิ่งไปกว่านั้น ข้าไม่ได้อ่อนแอ! พลังของข้าเทียบเท่ามนุษย์ผู้วิเศษลำดับ 7 แถมยังเป็นเส้นทางเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้!
“เจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็เชิญ ข้าไม่สน”
แวมไพร์หนุ่มลุกขึ้นยืนและกล่าวส่งท้าย
“แม้ว่าคำแนะนำของเจ้าจะไร้ประโยชน์ แต่ข้าก็คงต้องกล่าวขอบคุณ แล้วก็… สำหรับค่าปรึกษา หักเอาจากกระเป๋าเดินทางและกล่องดีบุกของข้าก็แล้วกัน”
“หือ…?” ไคลน์คิดตามไม่ทันในตอนแรก
จนกระทั่งเอ็มลินเดินออกจากบ้าน ชายหนุ่มจึงค่อยตระหนักได้เมื่อสาย
โดยทั่วไปแล้ว ภาชนะบรรจุสินค้าระหว่างการแลกเปลี่ยนต้องไม่ถูกคิดเงินไม่ใช่หรือ…
ไอ้แวมไพร์บัดซบ!
…
ท่ามกลางความมืดมิดซึ่งระลอกสายฟ้ายังหวนกลับมาไม่ถึง ทีมสำรวจจากเมืองเงินพิสุทธิ์เดินทางมาถึงบริเวณด้านหน้าซากปรักหักพังวิหารอย่าง ‘ตรงเวลา’
เดอร์ริคยังจำได้แม่นยำ ในภารกิจสำรวจครั้งแรก ตะเกียงหนังสัตว์ในมือทุกคนเกิดดับลงกะทันหัน ความมืดแผ่ปกคลุมบรรยากาศอย่างเข้มข้น มาพร้อมกับเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเด็กเล็กอันน่าขนลุก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ