ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ นิยาย บท 506

ราชันเร้นลับ 506 : พิพิธภัณฑ์สภาพอากาศ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เนื่องจากเริ่มเข้าใจอุปนิสัยของเดนิส ไคลน์จึงมิได้เอ่ยถามถึงรายละเอียดของตำนาน เพียงรอให้อีกฝ่ายปริปากออกมาเอง โดยนั่งรอบนเก้าอี้และจ้องมองอย่างใจเย็น

เดนิสส่ายหน้า

คนจำนวนมากหายตัวไปอย่างเป็นปริศนาท่ามกลางสายหมอก… กองกระดูกปรากฏขึ้นบนชายหาดหรือยอดเขา…

ไคลน์หวนนึกถึง ‘ดินแดนเทพทอดทิ้ง’ ขึ้นมาทันที ตามคำอธิบายของเดอะซันน้อย ดินแดนดังกล่าวปราศจากแสงสว่างโดยสิ้นเชิง มีเพียงสายฟ้าและความมืดมิดปกคลุม หากถูก ‘โอบกอด’ ด้วยความมืดอันเข้มข้นเมื่อใด เหตุการณ์ประหลาดจะเกิดขึ้นกับตัวทันที

เดนิสจ้องมองประภาคารอันโดดเด่นฉาบด้วยแสงของพระอาทิตย์ตกดิน พลางเล่าต่อไปอย่างฉะฉาน

“กล่าวกันว่า เมื่อราวสามร้อยปีก่อน สมัยกองทัพของโลเอ็นเพิ่งยกพลขึ้นบกมายึดครองเกาะแบนชี มีทหารราวห้าร้อยนายหายตัวไปอย่างเป็นปริศนาหลังจากเหตุการณ์หมอกหนาทึบปกคลุมเกาะ ถัดมาไม่นาน กองกระดูกสีขาวจำนวนมากได้ปรากฏริมชายฝั่ง หรือบางครั้งก็บนภูเขา เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นหลายหน จนกระทั่งโบสถ์วายุสลาตันทำการสร้างวิหารและส่งบิชอปมาเฝ้า ปัญหาดังกล่าวจึงไม่เกิดขึ้นอีก ถึงแม้นักประวัติศาสตร์จะถือว่ายุคล่าอาณานิคมเริ่มขึ้นหลังจากจักรพรรดิโรซายล์สร้างเส้นทางเดินเรือไปยังทวีปใต้สำเร็จ… แต่ในความเป็นจริง เกาะเล็กเกาะน้อยได้ถูกอาณาจักรของทวีปเหนือเข้ายึดครองก่อนหน้านั้นนานแล้ว เพียงแต่มิบริการจัดการอย่างเป็นระบบสักเท่าไร จากการขุดข้นสุสาน ภาพจิตรกรรมฝาผนังได้บอกให้พวกเราทราบว่า คนพื้นเมืองดั้งเดิมของเกาะเคยมีประเพณีกินคนมาก่อน เนื่องจากเกาะตั้งอยู่ในเขตสภาพอากาศแปรปรวน ภัยพิบัติทางธรรมชาติจึงสลับกันเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะแผ่นดินไหว พายุ หรือหมอกหนา… ส่งผลให้คนพื้นเมืองประสบความสูญเสียอย่างต่อเนื่องทุกปี เพื่อความอยู่รอด พวกเขาจึงเริ่มบูชา ‘เทพสภาพอากาศ’ โดยจะประกอบพิธีกรรมปีละสี่หน เนื้อหาของพิธีกรรมเกี่ยวกับการฆ่าเหยื่อสังเวย โดยสุ่มเลือกเหยื่อขึ้นมาจากกลุ่มสาวก จากนั้นก็จะแบ่งปันเลือดเนื้อให้ทุกคนกิน ปิดท้ายด้วยการวางกะโหลกศีรษะไว้กึ่งกลางแท่นบูชา อย่างไรก็ตาม ประเพณีดังกล่าวได้ถูกทดแทนด้วยพิธีกรรมวายุสลาตัน นับแต่นั้น ภาษาพื้นเมืองของเกาะแบนชีก็ค่อยๆ เลือนหายไป”

เทพสภาพอากาศ… เกาะในอาณานิคมซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีพิธีกรรมกินกันเอง…

ไคลน์ครุ่นคิดหาจุดเชื่อมโยง

เดนิสมองไปทางประตูและกล่าวโดยไม่ได้คิดอะไรมากนัก

“สืบเนื่องจากตำนานดังกล่าว เมืองท่าแบนชีจึงเกิดความเชื่อใหม่ขึ้นมาสองเรื่อง หนึ่ง ในค่ำคืนหมอกทึบและสภาพอากาศเลวร้าย ทุกคนจะต้องปิดประตูบ้านลงกลอนให้มิดชิดเสมอ ห้ามออกมาเดินเพ่นพ่านข้างนอกเด็ดขาด และห้ามเปิดประตูเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนเคาะประตู สอง พวกเขาหลงใหลการกินเลือดแข็งของสัตว์มาก โดยเรียนรู้มาจากเผ่าเอลฟ์เร่ร่อนว่า การเติมเกลือลงไปจะทำให้เลือดจับตัวเป็นก้อนอ่อนนุ่ม รสชาติของเลือดก้อนจะละมุนลิ้นเหนือคำบรรยาย แถมยังมีกลิ่นหอมจากเครื่องปรุงรสเผ็ดหลายชนิดของคนพื้นเมืองผสมผสานเข้าไป”

นี่มัน… ต้มเลือดไม่ใช่รึไง?

ไคลน์ยืนครุ่นคิดพลางขมวดคิ้ว

“เอลฟ์?”

ในทางสามัญสำนึกของโลกเก่า เอลฟ์คือสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์มังสวิรัติ มาดสง่างามและเป็นมิตรกับธรรมชาติ แล้วเหตุใดถึงได้ศึกษาเทคนิคการทำต้มเลือด…

“ถูกต้อง มีข่าวลือว่าเอลฟ์ชอบอาหารประเภทเลือดก้อน” เดนิสผายมือออกจากกัน “แต่น่าเสียดาย ปัจจุบันพวกเราคงไม่มีโอกาสได้พบเผ่าพันธุ์เชี่ยวชาญการประกอบอาหารนั่นอีกแล้ว”

เดอะซันน้อยเคยเล่าว่า เทพบรรพกาล—ราชาเอลฟ์ ซอนยาธริม มีอำนาจในขอบเขตของพายุ… หมายความว่า เผ่าเอลฟ์น่าจะอยู่บนเส้นทาง ‘ลูกเรือ’ เป็นส่วนใหญ่… จึงไม่ใช่เรื่องแปลก หากเอลฟ์จะหลงใหลการกินก้อนเลือดสุก… บางที พวกเขาอาจมิได้สุขุม แต่เป็นพวกอารมณ์ฉุนเฉียวและหัวรุนแรง…

ชักอยากเห็นเอลฟ์แล้วสิ…

ไคลน์เริ่มเบี่ยงเบนความสนใจกลับมายัง ‘ต้มเลือด’ อีกครั้ง

ไม่ได้กินนานแล้วสินะ…

ชายหนุ่มเกิดความอยากอาหารทันที

ทันใดนั้น เดนิสเสนอแนะ

“บนเกาะมีภัตตาคารมะนาว ได้ยินว่าต้มเลือดหมูของร้านมีรสชาติอร่อยเป็นพิเศษ ไปลองกินกันสักหน่อยไหม?”

เดนิสรู้สึกว่า การอยู่ในห้องพักตามลำพังกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์เป็นเรื่องอันตราย เพราะตนไม่มีทางทราบเลยว่า สัตว์ประหลาดในคราบมนุษย์ตนนี้จะเสียสติขึ้นมาเมื่อไร

หากมีผู้คนพลุกพล่าน หมอนี่อาจสะกดความบ้าบิ่นของตัวเองไว้… โอ้พระองค์วายุสลาตัน! ได้โปรดดลบันดาลให้การเดินทางครั้งนี้จบลงเร็วๆ ด้วยเถิด!

เดนิสอธิษฐานอย่างมีความหวัง

ในฐานะโจรสลัดผู้ฝากชีวิตไว้กับทะเล มันมอบความศรัทธาให้เทพวายุสลาตันพอสมควร แต่มิได้นับถือศาสนาของโบสถ์

เมื่อได้ยินข้อเสนอแนะ ไคลน์ ผู้อยากกินต้มเลือดหมูเป็นทุนเดิม เริ่มกระตือรือร้นอยากแวะไปลิ้มลอง

อย่างไรก็ตาม ตำนานและประเพณีของคนพื้นเมืองแบนชีทำให้ชายหนุ่มเกิดความไม่สบายใจพอสมควร จึงหยิบเหรียญทองออกมาทำนายต่อหน้าเดนิส

ผลลัพธ์ก็คือ ไม่มีอันตรายแอบแฝง

หืม… ไคลน์จ้องเหรียญทองบนฝ่ามือตนอย่างไม่ละสายตาราวสามวินาที สีหน้ายังคงเผยความกังวลชัดเจน

เมื่อเห็นฉากดังกล่าว เดนิสทราบทันทีว่า สัตว์ประหลาดตรงหน้าตน มีพลังอยู่ในขอบเขตการทำนาย

ต่อให้เราแอบหนีไป แต่ก็จะถูกหมอนี่แกะรอยจนพบตัวในภายหลัง…

เดนิส·เพลิงพิโรธเริ่มทำหน้าเศร้า

ขณะกำลังนั่งปรับอารมณ์ มันเห็นไคลน์ลุกพรวดขึ้นและเดินเข้าไปในห้องน้ำ

ก่อนจะปิดประตู ไคลน์หันมาพูด

“จะลองหนีดูก็ได้นะ”

กล่าวจบ ไคลน์กระแทกประตูห้องน้ำปิดจนเกิดเสียงดังโครม

เดนิสกำหมัดสลับคลาย ก่อนจะเดินไปหยุดยืนหน้าประตูห้อง

อันตรายมักเกิดจากความไม่รู้เสมอ…

จนกว่าจะทราบว่าอีกฝ่ายมีพลังชนิดใดบ้าง โจรสลัดเจ้าของค่าหัวสามพันปอนด์ตัดสินใจไม่เสี่ยงขัดแย้งกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์

อย่างน้อย หมอนั่นก็ยังมีด้านดีและไม่เคยทำร้ายเรา… เมื่อถึงบายัม มันคงยอมปล่อยเราเป็นอิสระ…

เดนิสเริ่มสวดภาวนาให้ความโชคดีบังเกิดขึ้นกับตน

ในห้องน้ำ

ไคลน์สะบัดกระดาษรูปคนและสร้างภาพลวงตาอันแนบเนียน ตามด้วยการหลบมุมห้อง เดินถอยหลังสี่ก้าวและส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอก

เมื่อนั่งบนเก้าอี้หัวโต๊ะ ชายหนุ่มปลดลูกตุ้มวิญญาณจากข้อมือซ้าย จากนั้นก็เขียนข้อความทำนายลงบนกระดาษ :

“ท่าเรือแบนชีมีอันตรายซ่อนอยู่”

มันจัดท่านั่งและจ่อปลายลูกตุ้มให้ลอยเหนือแผ่นกระดาษเล็กน้อย ตามด้วยการพึมพำประโยคทำนายสักพัก จึงค่อยลืมตาขึ้นและเห็นจี้บุษราคัม กำลังหมุนในทิศทางตามเข็มนาฬิกาเป็นวงกว้างและมีความเร็วสูงมาก!

หมายความว่า มีอันตรายกำลังรอไคลน์อยู่ภายในเมืองท่าแบนชี!

เป็นไปได้ยังไง… เมืองท่าแห่งนี้ตกอยู่ในอาณานิคมมานานกว่าสามร้อยปี แถมยังกลายเป็นเมืองท่าสำคัญในช่องทางการค้าสากลมานานนับร้อยปี ไม่เคยมีข่าวลือเสียหายเกี่ยวกับภัยอันตรายเลยสักครั้ง…

หรือว่าโจรสลัดทรงพลังบางคนกำลังวางแผนปล้นเกาะ แล้วเราบังเอิญเข้ามาพัวพันพอดี? ไม่น่าใช่ ปืนใหญ่รอบเกาะไม่ได้เป็นแค่เครื่องประดับสักหน่อย…

ไคลน์ขมวดคิ้วชนกัน ก่อนจะใช้พลังทำนายถามต่อไปว่า ตนจะได้รับอันตรายจากโจรสลัดหรือไม่

คำตอบระบุชัดเจนว่า ‘ไม่’

หืม… ชายหนุ่มเงียบงันสักพัก จึงค่อยใช้พลังวิญญาณหุ้มร่างและส่งตัวเองออกจากห้วงมิติเหนือสายหมอก

เมื่อกลับถึงโลกความจริง ไคลน์กดปุ่มกลไกชักโครกจนเกิดเสียง เก็บกระดาษรูปคนกลับเข้ากระเป๋า และเดินไปยังอ่างล้างหน้าเพื่อเปิดให้น้ำไหลผ่านฝ่ามือ

ภายในช่วงเวลาไม่กี่อึดใจ ชายหนุ่มชั่งน้ำหนักหาข้อดีข้อเสีย จนกระทั่งตัดสินใจว่าตนควรซ่อนตัวให้พ้นจากอันตรายไปก่อน

ไคลน์ดึงกระดาษทิชชูเช็ดฝ่ามือ ก่อนจะเปิดประตูห้องน้ำออกไป และเห็นเดนิสยังคงนั่งในห้องนั่งเล่นเช่นเดิม

ระวังตัวจนผิดวิสัยโจรสลัด… อาจเพราะลูกน้องของพลเรือโทธารน้ำแข็งส่วนใหญ่เป็นนักผจญภัยในคราบโจรสลัด ความคิดอ่านจึงค่อนข้างรอบคอบ…

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ