ตอน ราชันเร้นลับ 508 จาก ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
ราชันเร้นลับ 508 คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายInternet ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
น่าเสียดาย เนื่องจากสายลมกระโชกพัดผ่านมาเร็วเกินไป จึงไม่มีใครกล้าออกจากบ้านมาจุดตะเกียงเทียนหลังจากมืดค่ำ สองฝั่งทางเดินบนเกาะจึงมืดสนิท มีเพียงดวงจันทร์สีแดงเข้มส่องแสงนวลบนท้องฟ้า
เมื่อเทียบช่วงก่อนหน้า สายลมนับว่าสงบลงหลายระดับ โดยไคลน์ไม่จำเป็นต้องเสียสมาธิคอยใช้มือจับหมวก
หมอกจางกำลังปกคลุมทั่วบริเวณ บ้านสองชั้นปิดประตูและหน้าต่างมิดชิดทุกหลัง ราวกับไม่เคยมีใครอาศัยในละแวกนี้เป็นเวลานาน
ไคลน์ถือตะเกียงสีสลัวด้วยมือข้างหนึ่ง และถือไม้ค้ำด้วยมืออีกข้าง พลางเร่งฝีเท้าก้าวเดินอย่างเร่งรีบ ยังทิศทางภัตตาคารมะนาวตามคำบอกเล่าของเดนิส
ฟ้าว!
ท่ามกลางกระแสลมหมุนวน ไคลน์รู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงต้นคออย่างอธิบายไม่ถูก
ชายหนุ่มยกมือขวาข้างถือไม้ค้ำขึ้น พร้อมกับใช้ปลายนิ้วดึงปกเสื้อปิดบังต้นคอ
ทันใดนั้น ภาพนิมิตลางสังหรณ์พลันปรากฏในหัวไคลน์
เป็นฉากของเงาดำขนาดเท่าผลแตงโม พุ่งออกจากหมอกสายเจือจาง และบินตรงมายังใบหูของตนอย่างแม่นยำ
ไคลน์รีบชักไม้ค้ำขึ้นมาฟาดยังจุดดังกล่าวตามสัญชาตญาณ
เปรี้ยง!
เมื่อวัตถุปริศนาสีดำลอยเข้าใกล้ มันถูกปลายไม้ค้ำหวดจนกระเด็น
ด้วยแสงจากตะเกียง ไคลน์สามารถมองเห็นรูปลักษณ์แท้จริงวัตถุดังกล่าวได้อย่างชัดเจน
มันคือศีรษะ…ศีรษะมนุษย์!
ศีรษะอันปราศจากร่างกายและมีเพียงหลอดอาหารห้อยอยู่!
ใบหน้ามีลักษณะคล้ายชีสแห้งราขึ้น ผิวพรรณเต็มไปด้วยหนองเหลืองปนเขียว รอยเหี่ยวย่นปรากฏอย่างเด่นชัดทั่วทุกจุด เค้าโครงใบหน้ายังคงชัดเจนเป็นรูปทรง
จมูกหลุดออกไป เหลือแต่เพียงรูสีดำสองจุดขนาดไม่ใหญ่ ดวงตาขาวเหลือกขึ้นโดยปราศจากตาดำ ริมฝีปากเน่าเปื่อย เผยให้เห็นคราบเลือดและซี่ฟันอันแหลมคม
แม่เย็*!
เมื่อเดนิส·เพลิงพิโรธเห็นฉากดังกล่าว หัวใจของมันพลันสั่นเทาพร้อมกับกล่าวคำสบถตามสัญชาตญาณ
จริงอยู่ เดนิสอาจเคยล่าสมบัตินับครั้งไม่ถ้วนและต่อสู้กับสัตว์ประหลาดมากมาย แต่ฉากอันน่าขยะแขยงเช่นนี้พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก
เดนิสชักลูกโม่ทรงโบราณออกมาตอนไหนไม่มีใครทราบ แต่ปัจจุบันกำลังเตรียมลั่นไกโดยปราศจากความลังเล
ทันใดนั้น มันเห็นแสงสุกสว่างสีขาวโพลน ส่องลงมาจากความว่างเปล่าด้านบนท้องฟ้า
อ๊า!
เสียงกรีดร้องดังโหยหวน ศีรษะน่ารังเกียจเริ่มละลายอย่างรวดเร็วพร้อมกับผุดควันสีเทาเข้มข้น ก่อนจะสลายไปราวกับไม่เคยมีตัวตน
อ่อนแอฉิบหาย! เดนิสประเมินความแข็งแกร่งศัตรู
ไม่เพียงเท่านั้น เกอร์มัน·สแปร์โรว์อยู่บนเส้นทาง ‘สุริยัน’ งั้นหรือ… ไม่เหมือนสักนิด… คงเป็นเพราะสมบัติวิเศษมากกว่า… แต่ฝีมือชายคนเป็นของจริง สามารถตรวจพบศัตรูและโจมตีสวนกลับได้ทันที โดยเรายังไม่ทันได้ตระหนักถึง…
เดนิสเริ่มเปลี่ยนประเด็นความสนใจ
ขณะมันกำลังใจเย็น มุมสายตาเหลือบเห็นศีรษะน่ารังเกียจ ลักษณะคล้ายเดิม พุ่งออกมาสายหมอกเจือจางด้านข้างพร้อมกับอ้าปากกว้างอย่างน่าหวาดกลัว
ปัง!
เดนิสลั่นไกโดยไม่ลังเล
กระสุนทองเหลืองพุ่งปะทะกะโหลกศีรษะอันเต็มไปด้วยเชื้อราอย่างแม่นยำ ทะลวงผ่านหว่างคิ้วพร้อมกับทำให้ศีรษะหยุดชะงักกลางอากาศ
แทบจะในทันที ฝ่ามือซ้ายของเดนิสปรากฏก้อนเปลวเพลิงสีแดงฉาน กำลังหมุนวนเป็นเกลียวและขยายขนาดขึ้นจากเดิม
มันโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย ก่อนจะง้างแขนไปด้านหลังและ ‘ขว้าง’ ก้อนเพลิงกระแทกใส่ศีรษะอันน่าขยะแขยง
เพลิงแดงฉานแผดเผาเนื้อหนัง ศีรษะน่ารังเกียจกลายเป็นตอตะโกอย่างรวดเร็วพร้อมกับส่งเสียงร้องโหยหวน
อย่างไรก็ตาม ศีรษะบัดซบยังคงพุ่งตรงเข้าใส่โดยไม่สะทกสะท้าน ปากอ้ากว้างหมายต้องการกัดคอเดนิสให้ขาดสะบั้น
เนื่องจากไม่คาดคิดว่าจะเกิดผลลัพธ์เช่นนี้ เดนิสจึงมิอาจหดคอหลบทัน และไม่มีทางเลือกนอกจากกลิ้งไปข้างหน้าในสภาพทุลักทุเล
ขณะเดียวกัน บนฝ่ามือซ้ายมีกลุ่มก้อนพลังงานสีแดงผุดขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้มิได้ขยายออก แต่ค่อยๆ บีบอัดจนเล็กลงทีละนิด
ภายในเสี้ยววินาที เดนิสขว้างก้อนเพลิงสีส้มขนาดเท่าดวงตาออกไปหาอีกฝ่าย
เดนิส·เพลิงพิโรธ สามารถควบคุมวิถีของลูกไฟได้ด้วยพลังวิญญาณอย่างแม่นยำ ก้อนเพลิงทรงกลมสีส้มจึงพุ่งโค้งเข้าปากศีรษะเหี่ยวย่นน่ารังเกียจโดยไม่พลาดเป้า
บึ้ม!
แสงสว่างส่องไปทุกทิศ แรงระเบิดมหาศาลทำให้ศีรษะน่ารังเกียจแตกกระจัดกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อย เลือดสดและน้ำหนองสาดกระเซ็นทั่วบริเวณ
จัดการได้แล้ว…!
เดนิสพยุงตัวตั้งตรง พลางถอนหายใจด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
มันเพิ่งตระหนักว่า สัตว์ประหลาดศีรษะมนุษย์ชนิดนี้ค่อนข้างแข็งแกร่ง และอสุรกายเกอร์มัน·สแปร์โรว์ก็จัดการได้ในพริบตา
ก็แค่ดวงดีมีของวิเศษเส้นทางสุริยัน… ไม่เท่าไรหรอกน่า! เฮ่อะ!
เดนิสนึกเหยียดหยัน
ขณะครุ่นคิดพลางสำรวจรอบตัว มันพบว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์มิได้หยุดรอตน แต่ถือไม้ค้ำและตะเกียงเดินหายเข้ากลีบหมอกไปไกลแล้ว มองเห็นเพียงชายเสื้อคลุมกระดุมสองแถวสีดำ กำลังสะบัดพัดกระพือเล็กน้อยตามแรงลม
แม่เย็*! รอด้วยสิโว้ย! รอฉันก่อน!
รูม่านตาเดนิสพลันหดลีบ มันรีบสับเท้าเพื่อไล่ตามอีกฝ่ายให้ทัน ไม่กล้าพอจะอยู่ตามลำพังภายในสายหมอกเจือจางและบรรยากาศมืดสลัว
…
ณ ภัตตาคารมะนาว
ดอนน่ามองไปยังจานกระเบื้องเคลือบสีขาวด้านหน้าตน ก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นไปมองก้อนเลือดต้มสีแดงเข้ม พลางหวนนึกถึงเลือดจากคอซอมบี้ไร้หัว และริมฝีปากสีแดงฉ่ำตัดกับผิวพรรณอันขาวซีดของลูกค้าคนอื่นในร้าน
ลำคอของเด็กสาวขย้อนจนเกือบอาเจียน
ดอนน่าตัดสินใจไม่ลิ้มลองอาหารรสเลิศ แม้ว่ากลิ่นตรงหน้าจะเย้ายวนอย่างมากก็ตาม
เธอเพียงกินสลัดและมันฝรั่งบดแบบไม่คิดอะไรมาก รอให้ลมพายุด้านนอกสงบลง
ทุกวินาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้า
ยิ่งกระแสเวลาไหลผ่าน ลูกค้าโต๊ะอื่นก็เริ่มทยอยเดินลงจากชั้นสอง ภายในห้องจึงว่างเปล่ามากขึ้นทุกขณะ
กึก! กึก! กึก!
“เห็นไหม เสียงเคาะประตูดังขึ้นแล้ว ห้ามขานรับโดยเด็ดขาด” ฟ็อกซ์กำชับหงุดหงิด
เออร์ดี้พลันยืนสั่นเทา ภายในใจเตรียมเลือกพักค้างคืนกับภัตตาคารแห่งนี้
ขณะเดียวกัน ดอนน่ามองไปยังสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีผู้ยังคงจ้องมองมาทางตน และพบว่าสายตาของพวกมันค่อนข้างประหลาด
“ไม่! พวกเราต้องรีบกลับเรือ!” ดอนน่าเน้นเสียงจนคล้ายตะโกน
ระหว่างนั้น คลีฟส์เริ่มสัมผัสถึงลมหนาวเย็นจับใจจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก
มันเน้นย้ำความเห็นของตัวเองอีกครั้ง
“หากเกิดปัญหาใดขึ้น การอยู่บนเรือจะปลอดภัยกว่าในเมืองท่าแน่นอน เพราะมีทั้งปืนใหญ่และลูกเรือเป็นจำนวนมาก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เออร์ดี้ตัดสินใจยอมกลับเรือแต่โดยดี พร้อมกับทำสัญญาณมือบอกให้คลีฟส์เปิดประตูตรวจสอบเสียงเคาะ
คลีฟส์ยืนรอให้เสียงเคาะประตูเบาลง จึงค่อยใช้มือข้างหนึ่งจับลูกบิด และอีกข้างถือลูกโม่ดัดแปลง
หลังจากบิดเปิดประตู พวกมันพบว่า เสียงคำรามของสายลมด้านนอกเบาลงจากตอนแรกค่อนข้างมาก ด้วยบรรยากาศมืดสนิทและสายหมอกรายล้อม มอบความรู้สึกคล้ายกับด้านนอกมีสัตว์ประหลาดดุร้ายซุกซ่อนอยู่
ดอนน่าพาแดนตัน น้องชายของตน ไปยืนหลบด้านหลังเซซิล และค่อยๆ เดินออกจากภัตตาคารทีละก้าวอย่างระมัดระวัง
โครม!
ประตูภัตตาคารปิดไล่หลังเสียงดังโครมคราม ราวกับปิดตายมิให้ผู้ใดกลับเข้าไปด้านใดได้อีกเลย
ณ เวลานี้ พวกมันเปรียบดังเรือกำลังแล่นท่ามกลางฝ่าพายุฝนฟ้าคะนองตามลำพัง ราวกับโลกนี้ไม่มีใครเหลืออยู่อีกแล้ว
ขณะคลีฟส์เดินนำหน้าทุกคนด้วยตะเกียงเทียนไขในมือ มันเห็นบางสิ่งลอยไปในอากาศก่อนจะตกลงพื้นและกลิ้งสองสามตลบ
ดอนน่าและคนอื่นต่างหันไปมองตามสัญชาตญาณ และได้พบกับฉากสุดระทึกขวัญเหนือคำบรรยาย
ศีรษะมนุษย์เหี่ยวย่น!
ทันใดนั้น พวกมันมองเห็นแสงสว่างส่องลงมาจากเบื้องบน
แสงทำการชำระล้างให้ศีรษะน่ารังเกียจเลือนหายไปโดยไม่เหลือแม้แต่เศษซาก
“นี่มัน…” เออร์ดี้กลืนน้ำลายคำใหญ่ ร่างกายกำลังสั่นเทาอย่างมิอาจหักห้าม
ถัดมา พวกมันเริ่มมองเห็นแสงสีเหลืองนวลจากตะเกียงของใครบางคน ส่องตัดผ่านสายหมอกเจือจางเข้ามาใกล้ขึ้นทุกขณะ
อีกฝ่ายถือตะเกียงสีเหลือง ถือไม้ค้ำสีดำ สวมหมวกทรงกึ่งสูง เสื้อโค้ทกระดุมสองแถว ใบหน้าเผยความเย็นชาอันเป็นเอกลักษณ์
“ลุงสแปร์โรว์!” ดอนน่ากับแดนตันตะโกนเรียกพร้อมกัน
เด็กทั้งสองรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาทันที
ไคลน์โยนตะเกียงไปทางเดนิสด้านข้าง และย่างกรายเข้าใกล้ทุกคนด้วยไม้ค้ำ
ชายหนุ่มกล่าวด้วยมาดสุขุม
“แวะสำนักงานโทรเลขก่อน แล้วครอบครัวดิเมอดอร์อยู่ไหน”
……………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ