ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ นิยาย บท 508

สรุปบท ราชันเร้นลับ 508: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ตอน ราชันเร้นลับ 508 จาก ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ราชันเร้นลับ 508 คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายInternet ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 508 : อย่าออกไป
ราชันเร้นลับ 508 : อย่าออกไป
โดย
Ink Stone_Fantasy
แตกต่างจากเมืองบนผืนดินอย่างเบ็คลันด์ ทิงเก็น หรือท่าเรือพริสต์ หมู่เกาะอาณานิคมมักไม่มีแก๊สเพียงพอต่อการใช้งาน เสาโคมไฟริมถนนทั้งสองด้านจึงมีระยะห่างค่อนข้างมาก และมักอาศัยแสงสว่างจากเสาตะเกียงเทียนไขแทน

น่าเสียดาย เนื่องจากสายลมกระโชกพัดผ่านมาเร็วเกินไป จึงไม่มีใครกล้าออกจากบ้านมาจุดตะเกียงเทียนหลังจากมืดค่ำ สองฝั่งทางเดินบนเกาะจึงมืดสนิท มีเพียงดวงจันทร์สีแดงเข้มส่องแสงนวลบนท้องฟ้า

เมื่อเทียบช่วงก่อนหน้า สายลมนับว่าสงบลงหลายระดับ โดยไคลน์ไม่จำเป็นต้องเสียสมาธิคอยใช้มือจับหมวก

หมอกจางกำลังปกคลุมทั่วบริเวณ บ้านสองชั้นปิดประตูและหน้าต่างมิดชิดทุกหลัง ราวกับไม่เคยมีใครอาศัยในละแวกนี้เป็นเวลานาน

ไคลน์ถือตะเกียงสีสลัวด้วยมือข้างหนึ่ง และถือไม้ค้ำด้วยมืออีกข้าง พลางเร่งฝีเท้าก้าวเดินอย่างเร่งรีบ ยังทิศทางภัตตาคารมะนาวตามคำบอกเล่าของเดนิส

ฟ้าว!

ท่ามกลางกระแสลมหมุนวน ไคลน์รู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงต้นคออย่างอธิบายไม่ถูก

ชายหนุ่มยกมือขวาข้างถือไม้ค้ำขึ้น พร้อมกับใช้ปลายนิ้วดึงปกเสื้อปิดบังต้นคอ

ทันใดนั้น ภาพนิมิตลางสังหรณ์พลันปรากฏในหัวไคลน์

เป็นฉากของเงาดำขนาดเท่าผลแตงโม พุ่งออกจากหมอกสายเจือจาง และบินตรงมายังใบหูของตนอย่างแม่นยำ

ไคลน์รีบชักไม้ค้ำขึ้นมาฟาดยังจุดดังกล่าวตามสัญชาตญาณ

เปรี้ยง!

เมื่อวัตถุปริศนาสีดำลอยเข้าใกล้ มันถูกปลายไม้ค้ำหวดจนกระเด็น

ด้วยแสงจากตะเกียง ไคลน์สามารถมองเห็นรูปลักษณ์แท้จริงวัตถุดังกล่าวได้อย่างชัดเจน

มันคือศีรษะ…ศีรษะมนุษย์!

ศีรษะอันปราศจากร่างกายและมีเพียงหลอดอาหารห้อยอยู่!

ใบหน้ามีลักษณะคล้ายชีสแห้งราขึ้น ผิวพรรณเต็มไปด้วยหนองเหลืองปนเขียว รอยเหี่ยวย่นปรากฏอย่างเด่นชัดทั่วทุกจุด เค้าโครงใบหน้ายังคงชัดเจนเป็นรูปทรง

จมูกหลุดออกไป เหลือแต่เพียงรูสีดำสองจุดขนาดไม่ใหญ่ ดวงตาขาวเหลือกขึ้นโดยปราศจากตาดำ ริมฝีปากเน่าเปื่อย เผยให้เห็นคราบเลือดและซี่ฟันอันแหลมคม

แม่เย็*!

เมื่อเดนิส·เพลิงพิโรธเห็นฉากดังกล่าว หัวใจของมันพลันสั่นเทาพร้อมกับกล่าวคำสบถตามสัญชาตญาณ

จริงอยู่ เดนิสอาจเคยล่าสมบัตินับครั้งไม่ถ้วนและต่อสู้กับสัตว์ประหลาดมากมาย แต่ฉากอันน่าขยะแขยงเช่นนี้พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก

เดนิสชักลูกโม่ทรงโบราณออกมาตอนไหนไม่มีใครทราบ แต่ปัจจุบันกำลังเตรียมลั่นไกโดยปราศจากความลังเล

ทันใดนั้น มันเห็นแสงสุกสว่างสีขาวโพลน ส่องลงมาจากความว่างเปล่าด้านบนท้องฟ้า

อ๊า!

เสียงกรีดร้องดังโหยหวน ศีรษะน่ารังเกียจเริ่มละลายอย่างรวดเร็วพร้อมกับผุดควันสีเทาเข้มข้น ก่อนจะสลายไปราวกับไม่เคยมีตัวตน

อ่อนแอฉิบหาย! เดนิสประเมินความแข็งแกร่งศัตรู

ไม่เพียงเท่านั้น เกอร์มัน·สแปร์โรว์อยู่บนเส้นทาง ‘สุริยัน’ งั้นหรือ… ไม่เหมือนสักนิด… คงเป็นเพราะสมบัติวิเศษมากกว่า… แต่ฝีมือชายคนเป็นของจริง สามารถตรวจพบศัตรูและโจมตีสวนกลับได้ทันที โดยเรายังไม่ทันได้ตระหนักถึง…

เดนิสเริ่มเปลี่ยนประเด็นความสนใจ

ขณะมันกำลังใจเย็น มุมสายตาเหลือบเห็นศีรษะน่ารังเกียจ ลักษณะคล้ายเดิม พุ่งออกมาสายหมอกเจือจางด้านข้างพร้อมกับอ้าปากกว้างอย่างน่าหวาดกลัว

ปัง!

เดนิสลั่นไกโดยไม่ลังเล

กระสุนทองเหลืองพุ่งปะทะกะโหลกศีรษะอันเต็มไปด้วยเชื้อราอย่างแม่นยำ ทะลวงผ่านหว่างคิ้วพร้อมกับทำให้ศีรษะหยุดชะงักกลางอากาศ

แทบจะในทันที ฝ่ามือซ้ายของเดนิสปรากฏก้อนเปลวเพลิงสีแดงฉาน กำลังหมุนวนเป็นเกลียวและขยายขนาดขึ้นจากเดิม

มันโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย ก่อนจะง้างแขนไปด้านหลังและ ‘ขว้าง’ ก้อนเพลิงกระแทกใส่ศีรษะอันน่าขยะแขยง

เพลิงแดงฉานแผดเผาเนื้อหนัง ศีรษะน่ารังเกียจกลายเป็นตอตะโกอย่างรวดเร็วพร้อมกับส่งเสียงร้องโหยหวน

อย่างไรก็ตาม ศีรษะบัดซบยังคงพุ่งตรงเข้าใส่โดยไม่สะทกสะท้าน ปากอ้ากว้างหมายต้องการกัดคอเดนิสให้ขาดสะบั้น

เนื่องจากไม่คาดคิดว่าจะเกิดผลลัพธ์เช่นนี้ เดนิสจึงมิอาจหดคอหลบทัน และไม่มีทางเลือกนอกจากกลิ้งไปข้างหน้าในสภาพทุลักทุเล

ขณะเดียวกัน บนฝ่ามือซ้ายมีกลุ่มก้อนพลังงานสีแดงผุดขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้มิได้ขยายออก แต่ค่อยๆ บีบอัดจนเล็กลงทีละนิด

ภายในเสี้ยววินาที เดนิสขว้างก้อนเพลิงสีส้มขนาดเท่าดวงตาออกไปหาอีกฝ่าย

เดนิส·เพลิงพิโรธ สามารถควบคุมวิถีของลูกไฟได้ด้วยพลังวิญญาณอย่างแม่นยำ ก้อนเพลิงทรงกลมสีส้มจึงพุ่งโค้งเข้าปากศีรษะเหี่ยวย่นน่ารังเกียจโดยไม่พลาดเป้า

บึ้ม!

แสงสว่างส่องไปทุกทิศ แรงระเบิดมหาศาลทำให้ศีรษะน่ารังเกียจแตกกระจัดกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อย เลือดสดและน้ำหนองสาดกระเซ็นทั่วบริเวณ

จัดการได้แล้ว…!

เดนิสพยุงตัวตั้งตรง พลางถอนหายใจด้วยสีหน้าผ่อนคลาย

มันเพิ่งตระหนักว่า สัตว์ประหลาดศีรษะมนุษย์ชนิดนี้ค่อนข้างแข็งแกร่ง และอสุรกายเกอร์มัน·สแปร์โรว์ก็จัดการได้ในพริบตา

ก็แค่ดวงดีมีของวิเศษเส้นทางสุริยัน… ไม่เท่าไรหรอกน่า! เฮ่อะ!

เดนิสนึกเหยียดหยัน

ขณะครุ่นคิดพลางสำรวจรอบตัว มันพบว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์มิได้หยุดรอตน แต่ถือไม้ค้ำและตะเกียงเดินหายเข้ากลีบหมอกไปไกลแล้ว มองเห็นเพียงชายเสื้อคลุมกระดุมสองแถวสีดำ กำลังสะบัดพัดกระพือเล็กน้อยตามแรงลม

แม่เย็*! รอด้วยสิโว้ย! รอฉันก่อน!

รูม่านตาเดนิสพลันหดลีบ มันรีบสับเท้าเพื่อไล่ตามอีกฝ่ายให้ทัน ไม่กล้าพอจะอยู่ตามลำพังภายในสายหมอกเจือจางและบรรยากาศมืดสลัว

ณ ภัตตาคารมะนาว

ดอนน่ามองไปยังจานกระเบื้องเคลือบสีขาวด้านหน้าตน ก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นไปมองก้อนเลือดต้มสีแดงเข้ม พลางหวนนึกถึงเลือดจากคอซอมบี้ไร้หัว และริมฝีปากสีแดงฉ่ำตัดกับผิวพรรณอันขาวซีดของลูกค้าคนอื่นในร้าน

ลำคอของเด็กสาวขย้อนจนเกือบอาเจียน

ดอนน่าตัดสินใจไม่ลิ้มลองอาหารรสเลิศ แม้ว่ากลิ่นตรงหน้าจะเย้ายวนอย่างมากก็ตาม

เธอเพียงกินสลัดและมันฝรั่งบดแบบไม่คิดอะไรมาก รอให้ลมพายุด้านนอกสงบลง

ทุกวินาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้า

ยิ่งกระแสเวลาไหลผ่าน ลูกค้าโต๊ะอื่นก็เริ่มทยอยเดินลงจากชั้นสอง ภายในห้องจึงว่างเปล่ามากขึ้นทุกขณะ

กึก! กึก! กึก!

“เห็นไหม เสียงเคาะประตูดังขึ้นแล้ว ห้ามขานรับโดยเด็ดขาด” ฟ็อกซ์กำชับหงุดหงิด

เออร์ดี้พลันยืนสั่นเทา ภายในใจเตรียมเลือกพักค้างคืนกับภัตตาคารแห่งนี้

ขณะเดียวกัน ดอนน่ามองไปยังสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีผู้ยังคงจ้องมองมาทางตน และพบว่าสายตาของพวกมันค่อนข้างประหลาด

“ไม่! พวกเราต้องรีบกลับเรือ!” ดอนน่าเน้นเสียงจนคล้ายตะโกน

ระหว่างนั้น คลีฟส์เริ่มสัมผัสถึงลมหนาวเย็นจับใจจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก

มันเน้นย้ำความเห็นของตัวเองอีกครั้ง

“หากเกิดปัญหาใดขึ้น การอยู่บนเรือจะปลอดภัยกว่าในเมืองท่าแน่นอน เพราะมีทั้งปืนใหญ่และลูกเรือเป็นจำนวนมาก”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เออร์ดี้ตัดสินใจยอมกลับเรือแต่โดยดี พร้อมกับทำสัญญาณมือบอกให้คลีฟส์เปิดประตูตรวจสอบเสียงเคาะ

คลีฟส์ยืนรอให้เสียงเคาะประตูเบาลง จึงค่อยใช้มือข้างหนึ่งจับลูกบิด และอีกข้างถือลูกโม่ดัดแปลง

หลังจากบิดเปิดประตู พวกมันพบว่า เสียงคำรามของสายลมด้านนอกเบาลงจากตอนแรกค่อนข้างมาก ด้วยบรรยากาศมืดสนิทและสายหมอกรายล้อม มอบความรู้สึกคล้ายกับด้านนอกมีสัตว์ประหลาดดุร้ายซุกซ่อนอยู่

ดอนน่าพาแดนตัน น้องชายของตน ไปยืนหลบด้านหลังเซซิล และค่อยๆ เดินออกจากภัตตาคารทีละก้าวอย่างระมัดระวัง

โครม!

ประตูภัตตาคารปิดไล่หลังเสียงดังโครมคราม ราวกับปิดตายมิให้ผู้ใดกลับเข้าไปด้านใดได้อีกเลย

ณ เวลานี้ พวกมันเปรียบดังเรือกำลังแล่นท่ามกลางฝ่าพายุฝนฟ้าคะนองตามลำพัง ราวกับโลกนี้ไม่มีใครเหลืออยู่อีกแล้ว

ขณะคลีฟส์เดินนำหน้าทุกคนด้วยตะเกียงเทียนไขในมือ มันเห็นบางสิ่งลอยไปในอากาศก่อนจะตกลงพื้นและกลิ้งสองสามตลบ

ดอนน่าและคนอื่นต่างหันไปมองตามสัญชาตญาณ และได้พบกับฉากสุดระทึกขวัญเหนือคำบรรยาย

ศีรษะมนุษย์เหี่ยวย่น!

ทันใดนั้น พวกมันมองเห็นแสงสว่างส่องลงมาจากเบื้องบน

แสงทำการชำระล้างให้ศีรษะน่ารังเกียจเลือนหายไปโดยไม่เหลือแม้แต่เศษซาก

“นี่มัน…” เออร์ดี้กลืนน้ำลายคำใหญ่ ร่างกายกำลังสั่นเทาอย่างมิอาจหักห้าม

ถัดมา พวกมันเริ่มมองเห็นแสงสีเหลืองนวลจากตะเกียงของใครบางคน ส่องตัดผ่านสายหมอกเจือจางเข้ามาใกล้ขึ้นทุกขณะ

อีกฝ่ายถือตะเกียงสีเหลือง ถือไม้ค้ำสีดำ สวมหมวกทรงกึ่งสูง เสื้อโค้ทกระดุมสองแถว ใบหน้าเผยความเย็นชาอันเป็นเอกลักษณ์

“ลุงสแปร์โรว์!” ดอนน่ากับแดนตันตะโกนเรียกพร้อมกัน

เด็กทั้งสองรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาทันที

ไคลน์โยนตะเกียงไปทางเดนิสด้านข้าง และย่างกรายเข้าใกล้ทุกคนด้วยไม้ค้ำ

ชายหนุ่มกล่าวด้วยมาดสุขุม

“แวะสำนักงานโทรเลขก่อน แล้วครอบครัวดิเมอดอร์อยู่ไหน”

……………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ