สมกับเป็นชนพื้นเมือง… แต่นี่มันไม่เด่นสะดุดตาไปหน่อยหรือ ถ้าออกไปเดินข้างนอกจะไม่ถูกตำรวจจับเอารึไง? พวกนายเป็นกลุ่มต่อต้าน เป็นองค์กรนอกกฎหมาย!
ขณะไคลน์เตรียมเบือนหน้าไปมองทางอื่น ขนคิ้วอันยุ่งเหยิงและสายตาเลือดเย็นราวกับสัตว์ป่าของอีกฝ่ายได้ทำให้ชายหนุ่มต้องขมวดคิ้ว
หมอนี่เคยฆ่าคนมามาก… ไคลน์ประเมินอย่างคร่าวจากสัมผัสวิญญาณ
ว่ากันตามตรง จิตและความทรงจำจากโลกเก่าได้ทำให้ชายหนุ่มเกิดความสงสารและเห็นใจบรรดากลุ่มกบฏหรือกองกำลังต่อต้านอาณานิคม ยังไม่รวมไปถึงความทรงจำสมัยอาณาจักรโลเอ็น แต่หลังจากได้ยินว่าอีกฝ่ายเป็นสาวกของ ‘เทพสมุทร’ คาเวทูว่าซึ่งมีพฤติกรรมป่าเถื่อนไม่แพ้กัน ความสงสารได้แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดระแวงและสร้างระยะห่าง
นี่ไม่ใช่การเหยียดศาสนา แต่จากข้อมูลในปัจจุบัน ความเชื่อของชาวเกาะรอสต์ยังอยู่ในยุคเริ่มต้น นิยมการเซ่นสังเวยอาหาร เลือด และชีวิต ถือเป็นยุคสมัยที่ยังขาดความรู้ความเข้าใจโดยสิ้นเชิง
ไม่เพียงเท่านั้น จากประสบการณ์ของจักรพรรดิและของเราโดยตรง โลกผู้วิเศษใบนี้เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและบิดเบี้ยว หากเทพตนใดได้รับการสังเวยเป็นเลือดเนื้อ อาหาร หรือแม้กระทั่งชีวิต ก็คงยากจะปฏิเสธความเย้ายวนดังกล่าวได้…
ไคลน์ไม่กล่าวสิ่งใด เพียงเดินตามเดนิสเข้าไปในห้องตรงหน้า
“เอ็ดมันตัน พวกเขาเป็นใคร” สุ้มเสียงอันสุขุมไพเราะดังมาจากบริเวณหน้าต่าง
ชายสักลายบนแขนปิดประตูและตอบ
“ใครสักคนปลอมตัวมา”
ไคลน์เริ่มมองเห็นภาพรวมของห้องจากการกวาดสายตาหนึ่งครั้ง
ห้องรับแขกมีขนาดไม่ใหญ่ ยิ่งมีเครื่องเรือนอย่างตู้กับข้าว โต๊ะ และเก้าอี้อีกจำนวนหนึ่ง ความรู้สึกคับแคบก็ยิ่งชัดเจน
ประตูฝั่งขวาน่าจะเป็นห้องนอน ฝั่งซ้ายคือ ‘ห้องครัว’ ที่ถูกคั่นโดยตู้กับข้าว ในส่วนของห้องน้ำ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าไม่มี เพราะระหว่างทางขึ้นบันไดมา ไคลน์พบว่ามีห้องน้ำรวมประจำอยู่ในแต่ละชั้น โดยกลิ่นอับอันเกิดจากการไม่ถูกทำความสะอาดเป็นเวลานาน ได้เร่งให้ผู้มาเยือนต้องรีบสับเท้าเดินหนี
บานหน้าต่างอยู่ตรงกลางเบื้องหน้า มีราวไม้ไผ่สองท่อนยื่นยาวออกไป สำหรับตากเสื้อผ้าที่เพิ่งซักเสร็จ
ชายกำยำสี่ถึงห้าคนกำลังนั่งหรือยืนบริเวณกรอบประตู ‘ห้องนอน’ และห้องรับแขก ทั้งหมดมีผิวสีเข้ม ผมสีดำหยักศกเล็กน้อย สวมเสื้อทาลาบาสีน้ำเงิน และแต้มผิวกายด้วยแถบสีแดงสั้นสามแถว ในส่วนของรอยสักงูทะเลตัวใหญ่ ไคลน์มิอาจระบุได้เนื่องจากถูกร่มผ้าบดบัง
บางคนเหน็บลูกโม่ดัดแปลงไว้ข้างเอวซ้าย บางคนถือลูกซองสีน้ำตาลแดง บางคนถึงขั้นสะพายกล่องโลหะสีขาวนวลไว้ด้านหลัง โดยในมือกำลังถือปืนไรเฟิลไอน้ำแรงดันสูง ทั้งหมดยืนล้อมเดนิสและไคลน์ในลักษณะครึ่งวงกลม
เจ้าของคำถามคือชายวัยสี่สิบ กำลังนั่งบนวีลแชร์ มีผ้าห่มปิดตั้งแต่เข่าลงไป ครึ่งท่อนบนสวมแจ็คเก็ตและเสื้อยืด
ศีรษะโกนล้าน เคราสองข้างเข้มจนเกือบเขียว ดวงตาสีน้ำตาลกักเก็บอารมณ์ไว้เต็มเปี่ยม และไม่เผยความสั่นคลอนให้คนแปลกหน้าเห็น
ชายคนดังกล่าวจ้องหน้าผู้มาเยือนสักพัก ก่อนจะเริ่มเผยรอยยิ้ม
“เพลิงพิโรธ”
เดนิสพลันผงะ ตามด้วยยิ้มแห้ง
“ไครัท ยังตาดีเหมือนเดิมเลยนะ”
แม่เย็*! เทคนิคการแต่งหน้าของเราห่วยแตกขนาดนั้นเชียว?
เดนิสกรีดร้องอย่างไม่ยอมรับ
ไครัทเมินเฉยคำเยินยอจอมปลอมจากปากอีกฝ่าย เพียงหัวเราะและกล่าวต่อ
“ได้ยินว่านายฆ่า ‘เหล็กกล้า’ กับ ‘พุ่มหนามสีเลือด’ ไปแล้วสินะ”
“หึหึ… ยังจะเป็นฝีมือใครได้อีก” เดนิสย้อนถามอย่างโอหัง
ไครัทหรี่ตาลง ชำเลืองมาทางไคลน์ ผู้มีใบหน้าไม่โดดเด่น อย่างเชื่องช้า
มันทราบเป็นอย่างดีว่า ลำพัง ‘เพลิงพิโรธ’ เดนิสคงไม่มีทางจัดการโจรสลัดชื่อดังทั้งสองพร้อมกันได้แน่ อย่าว่าแต่ ‘เหล็กกล้า’ แม็กวิตี้เลย แม้กระทั่ง ‘พุ่มหนามสีเลือด’ เฮนดรี้ ก็อาจไม่มีปัญญา
มีข่าวลือว่าเดนิสลงมือสำเร็จเพราะได้รับความช่วยเหลือจากนักผจญภัยทรงพลัง ขณะเดียวกันก็ยังเป็นนักล่าค่าหัวมือฉมัง
ชายคนนี้เองหรือ… ไครัทจ้องเข้าไปในดวงตาไคลน์ และไม่พบความกังวล ตึงเครียด หรือหวาดระแวง เป็นดวงตาราวกับท้องทะเลลึกไร้ขอบเขต
ไม่ผิดแน่… หรืออย่างน้อย ชายคนนี้ก็แข็งแกร่งกว่าเพลิงพิโรธ!
ไครัทขยิบตาให้เอ็ดมันตันและคนอื่น เป็นการส่งสัญญาณลับให้เพิ่มความระมัดระวัง
“แล้วมาทำอะไร” ไครัทไม่สานต่อประเด็นไร้สาระ รีบเข้าเรื่องทันที
เดนิสชำเลืองไคลน์เล็กน้อย เมื่อได้สัญญาณอนุญาต มันกล่าวกับไครัท
“มาดูว่าพวกนายมีอะไรขายบ้าง”
ไครัทชี้นิ้วไปบนโต๊ะ
“ทั้งหมดนั่น”
โต๊ะตัวดังกล่าวเต็มไปด้วยสิ่งของพิสดาร เช่นนกหวีดกระดูกขาว ปี่สก็อตหยาบ ใบไม้เหล็กสีดำ และก้อนหินโชกเลือด
โดยไม่รอให้ไคลน์หรือเดนิสเริ่มตรวจสอบ ไครัทปรบมือเสียงดังและเริ่มพูด
“ฉันมีงานให้พวกนายทำ หากทำสำเร็จ เลือกหยิบไปได้เลยหนึ่งชิ้นโดยไม่คิดราคา”
มันหัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะเสริม
“หากอ้างอิงจากคำพูดของคนนอก สิ่งของเหล่านี้ไม่ใช่สมบัติวิเศษ แต่เป็นเพียงวัตถุวิญญาณ และจะเสื่อมพลังลงเมื่อเวลาผ่านไป บางชิ้นเสื่อมเร็ว บ้างชิ้นเสื่อมช้า”
“งานอะไร” ไคลน์ซักถามเยือกเย็น โดยไม่ปิดบังว่าเดนิสเป็นเพียงคนติดสอยห้อยตาม
ไครัทสอดมือเข้าไปในผ้าห่มเหนือเข่า หยิบปึกกระดาษสีขาวจำนวนหนึ่งออกมาถือ
“ค้นหาแหล่งกบดานของพวกมัน หากจับเป็นจะยิ่งได้รับรางวัลตอบแทนมากกว่าปรกติ”
มันยกแขนขึ้น เผยให้ไคลน์เห็นภาพเหมือนของสี่บุคคล หนึ่งในนั้นเป็นหญิงสาวแต่งกายด้วยเสื้อผ้าผู้ชาย ดวงตาสีฟ้าคราม
เลติเซีย·โดเรล่า… ไคลน์จดจำได้ทันทีว่ากลุ่มต่อต้านกำลังตามหาใคร
ชายหนุ่มเพิ่งได้พบหล่อนไปเมื่อคืน สตรีผู้เป็นทั้งนักโบราณคดีและนักผจญภัย แถมยังโดยสารเรือลำเดียวกันเมื่อช่วงสาย โดยอีกฝ่ายต้องสงสัยว่าจะเป็นสมาชิก ‘นิกายมอสส์’ หรือไม่ก็ ‘แก่นรุ่งอรุณ’
เดนิสพยายามจ้อง ก่อนจะเริ่มคุ้นเคย
ทันใดนั้น มันนึกได้ว่าตนเคยพบหญิงสาวคนดังกล่าวที่ไหน
เกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้านข้างตน เพิ่งเสกภาพของหล่อนเห็นในฝัน!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ