มันกำลังวิ่งวนรอบโลกอยู่รึไง…
หรือว่ากำลังอยู่ข้างหน้าเรา เพียงแต่เคลื่อนไหวได้เร็วเกินไป ก็เลยมองตามไม่ทัน…
ไคลน์รำพัน อดทนรออย่างใจเย็นอีกสักพัก เพื่อดูว่าสิ่งมีชีวิตวิญญาณ ‘รวดเร็วเหนือจินตนาการ’ ของตนจะปรากฏตัวตอนไหน
ชายหนุ่มไม่กังวลว่า ‘รวดเร็วเหนือจินตนาการ’ ของตนจะหลุดไปทำร้ายผู้บริสุทธิ์ในบริเวณใกล้เคียง เพราะแค่ตนสิ้นสุดพิธีกรรมอัญเชิญ ไม่ว่า ‘รวดเร็วเหนือจินตนาการ’ จะหนีไปไกลได้แค่ไหน แต่มันก็จะถูกส่งกลับโลกวิญญาณทันที
ผ่านไปหลายวินาที เมื่อมั่นใจว่าคงไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นอีก ไคลน์ถอนหายใจยาวและเปล่งถ้อยคำเฮอร์มิสโบราณ
“ต้วข้า! ขอสิ้นสุดการอัญเชิญในนามแห่งข้า!”
บรรยากาศเย็นเฉียบรอบตัวพลันเลือนลับ เกลียวสายลมหมุนค่อยๆ จางหาย แสงเปลวเทียนกลับคืนสีปรกติ
ไคลน์เดินไปข้างหน้า ดับเทียนไข และเตรียมคิดคำนิยามใหม่เพื่อใช้อัญเชิญว่าที่ผู้ส่งสาร
ในส่วนของบรรทัด ‘ผู้เตร็ดเตร่ในความว่างเปล่า’ และ ‘สิ่งมีชีวิตที่เป็นมิตรและสามารถรับคำสั่ง’ นั้นยังไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยน บรรทัดแรกมีไว้อ้างอิงถึงสิ่งมีชีวิตบนโลกวิญญาณ สามารถเปลี่ยนให้เป็นคำคล้ายกันได้ แต่ผลลัพธ์จะยังคงเหมือนเดิม ส่วนบรรทัดที่สองมีไว้เพื่อรับประกันความปลอดภัยให้ตัวไคลน์เอง ไม่อย่างนั้น การเฟ้นหาผู้ส่งสารแสนสนุกสนาน อาจกลายเป็นโศกนาฏกรรมสยองขวัญ
อา… เราใช้วลี ‘เหนือจินตนาการ’ เสริมท้ายประโยคไม่ได้ แต่ถ้าเป็นแบบนั้น คุณภาพของผู้ส่งสารอาจไม่ตรงตามใจ… หรือเราควรมองในมุมใหม่… ผู้ส่งสารไม่จำเป็นต้องวิ่งเร็วจนมองตามไม่ทัน ขอเพียงมีความเร็วปานกลาง แต่ไม่ถูกแย่งชิงจดหมายไปก็พอ…
ไม่ถูกแย่งชิงจดหมาย… หมายความว่าไม่ตกเป็นเป้าของนักล่า…
ไคลน์ครุ่นคิดราวสามนาที ก่อนจะเริ่มประกอบพิธีกรรมอีกครั้ง
เมื่อดำเนินขั้นตอนพื้นฐานเสร็จ ชายหนุ่มท่องคาถาบทใหม่
“ตัวข้า! ขออัญเชิญด้วยนามแห่งข้า! ผู้เตร็ดเตร่ในความว่างเปล่า สิ่งมีชีวิตที่เป็นมิตรและพร้อมรับคำสั่ง สิ่งมีชีวิตอ่อนแอที่นักล่าไม่สนใจ!”
ความเงียบปกคลุมโกดังร้างเป็นเวลานานอากาศรอบตัวไคลน์มิได้เย็นขึ้น ไม่มีสายลมหมุนวนเป็นเกลียว แม้กระทั่งเทียนไขก็ไม่เปลี่ยนสี
ไคลน์รอคอยอย่างใจเย็น ด้วยความหวังว่าจะมีผู้ส่งสารดีๆ โผล่ออกมาจากเปลวเทียน
ผ่านไปราวสิบวินาที ชายหนุ่มทำได้เพียงถอนหายใจห่อเหี่ยว พลางกวาดตามองไปรอบตัว
“ล้มเหลว… นิยามนี้ใช่ไม่ได้…”
มันไม่รีรอ รีบสิ้นสุดพิธีกรรมและดับเทียน
แต่ไคลน์ก็ต้องประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเปลวเทียนไหววูบสองสามหนก่อนจะดับมอด
หรือเรามองข้ามอะไรไป…
ไคลน์ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็คลายออกแทบจะในทันที และไม่เก็บมาคิดให้ปวดหัวอีก
สมาธิย้อนกลับมาใคร่ครวญว่า ตนควรดัดแปลงคาถาไปในทิศทางใด โดยไม่สนใจบรรทัดที่หนึ่งและสอง มุ่งเน้นเพียงบรรทัดสุดท้ายเท่านั้น
เราต้องเปลี่ยนมุมมอง อาจไม่จำเป็นต้องถูกนักล่าเพิกเฉย แต่ต้องทนมือทนเท้าได้ดี หรือไม่ก็หลบหลีกเก่ง…
ผู้ส่งสารที่ดีคือผู้ส่งสารที่ทำงานสำเร็จ…
ไคลน์ครุ่นคิดอีกสักพัก ก่อนจะเริ่มประกอบพิธีกรรมเป็นครั้งที่สาม
ท่ามกลางกลิ่นหอมรัญจวนของผงสมุนไพรและน้ำมันสกัด แสงจากเทียนไขกำลังฉาบใบหน้าชายหนุ่มครึ่งหนึ่งจนเกิดแถบเงาดำ
เสียงท่องคาถาดังกังวานภายในโกดังร้าง
“ตัวข้า! ขออัญเชิญด้วยนามแห่งข้า! ผู้เตร็ดเตร่ในความว่างเปล่า สิ่งมีชีวิตที่เป็นมิตรและพร้อมรับคำสั่ง สิ่งมีชีวิตวิเศษที่มีความทนทานเป็นเลิศ!”
ทันใดนั้น เปลวไฟเทียนไขเริ่มขยายตัว สีสันแปรเปลี่ยนเป็นแดงฉาน
ภายในเนตรวิญญาณของไคลน์ กระดูกสีขาวจำนวนมากผุดขึ้นจากพื้นดิน และกองสุมก่อตัวกันเป็นรูปทรงคล้ายตู้นิรภัย
อัญเชิญสิ่งมีชีวิตปรกติออกมาได้สักที…
หืม… น่าจะมีความทนทานทางร่างกายสูง… ด้วยสภาพราวกับตู้นิรภัยเช่นนี้ มองปราดเดียวก็รู้ทันทีว่าทนมือทนเท้า…
ไคลน์เริ่มหายใจทั่วท้อง พลางกล่าวกับอีกฝ่ายด้วยเฮอร์มิสโบราณ
“เจ้าเป็นผู้ส่งสารให้ข้าได้หรือไม่”
ตู้นิรภัยกระดูกขาวพยักหน้ารับเล็กน้อยเพื่อยืนยันเจตจำนง จากนั้น บางสิ่งคล้ายกระดูกที่อยู่ใต้กล่องนิรภัยเริ่มขยับอย่างเชื่องช้า ร่างกายของมันกำลังคืบคลานเข้าหาไคลน์ด้วยความเร็วสุดอืดอาด
เพียงระยะทางหนึ่งเซนติเมตร มันใช้เวลานานเกือบสิบวินาที!
ช้าฉิบหาย…
ไคลน์ยิ้มแห้ง
จริงอยู่ ผู้ส่งสารสามารถเดินทางผ่านโลกวิญญาณได้ภายในพริบตา แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่า พวกมันไม่ต้องใช้ความเร็ว
ท่ามกลางโลกวิญญาณอันปั่นป่วนและไม่สมเหตุสมผล สิ่งสำคัญในการเดินทางก็คือ ต้องระบุพิกัดปลายทางอย่างแม่นยำ
ขอเพียงระบุตำแหน่งล่วงหน้าได้อย่างชัดเจน ผู้ส่งสารสามารถปรากฏตัวบนโลกความจริงได้ทันที ยกตัวอย่างเช่น หากอัญเชิญผู้ส่งสารจากพิธีกรรม หรือแม้กระทั่งการเป่านกหวีดของแดงของมิสเตอร์อะซิกที่มีลักษณะเหมือนกับพิธีกรรม ผู้ส่งสารก็จะมาปรากฏตัวตรงหน้าแท่นบูชาในพริบตา โดยไม่สนว่าจะอยู่ในส่วนใดของโลกวิญญาณ
แต่ถ้าตำแหน่งของปลายทางไม่แน่นอน ไม่มีพิกัดระบุเหมือนกับแท่นบูชา มีเพียงสายสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างเลือนราง ผู้ส่งสารจำเป็นต้องตระเวนหาปลายทางภายในโลกวิญญาณสักพัก และขั้นตอนนี้จำเป็นต้องใช้ความเร็ว
หากเราใช้เจ้านี่เป็นผู้ส่งสาร เกรงว่าคนรับอาจแก่ตายก่อนจดหมายจะถึงมือ…
ไคลน์ครุ่นคิด พลางจ้องตู้นิรภัยกระดูกขาวที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า
ชายหนุ่มฉีกยิ้มอ่อนโยน
“หลังจากลองทบทวนดูใหม่ ข้าคิดว่าคงเป็นการดีกว่า หากจะไม่รบกวนเวลาของเจ้า ขอบคุณที่เต็มใจช่วยเหลือ”
ได้ยินเช่นนั้น สิ่งมีชีวิตกระดูกมายาพลันหยุดเดินกลางคัน ถึงจะเรียกว่าเดิน แต่ถ้านำไปเทียบกับตอนแรกที่ปรากฏตัว มันแทบไม่ได้ออกจากจุดเดิมเลยสักนิด
ไคลน์รีบยกเลิกพิธีกรรมอัญเชิญ ตามด้วยการเลื่อนมือขึ้นมาก่ายหน้าผาก
ชายหนุ่มรู้สึกหดหู่ไปสักพัก ก่อนจะตัดสินใจละทิ้งอุดมการณ์เก่า และคิดหาวิธีทำให้ขั้นตอนมีความซับซ้อนน้อยลง
ทันใดนั้น มันบังเอิญหวนนึกถึง ‘นิทรรศการสมัครงาน’ สมัยยังอยู่โลกเก่า จึงเริ่มผุดไอเดียหนึ่งขึ้นมา
นัดสัมภาษณ์เป็นกลุ่ม!
ไคลน์สูดลมหายใจยาวเข้าเต็มปอด พยายามสงบจิตใจ และเริ่มประกอบพิธีกรรมอีกครั้ง
ขณะสายตาจ้องเทียนไขที่กำลังลุกไหม้อย่างอ่อนโยน มันเปล่งเสียงกังวานคมชัด
“ตัวข้า! ขออัญเชิญด้วยนามแห่งข้า! ผู้เตร็ดเตร่ในความว่างเปล่า สิ่งมีชีวิตที่เป็นมิตรและพร้อมรับคำสั่ง สิ่งมีชีวิตที่ต้องการเป็นผู้ส่งสารของข้า!”
ฟ้าว!
สายลมพลันพรั่งพรูเข้ามาในกำแพงวิญญาณอย่างท่วมท้น จนหมวกทรงกึ่งสูงเหนือศีรษะชายหนุ่มเกือบปลิวหลุด
เปลวเทียนไขสั่นไหววูบวาบ ตามด้วยการขยายขนาดจนเท่ากับสมองของมนุษย์ โดยสีของไฟเริ่มซีดจางลงราวกับสูญเสียอุณหภูมิ
ทันใดนั้น ศีรษะมายาลอยออกจากเปลวเทียนที่ขยายตัวออกเป็นแผ่นบาง เผยให้เห็นเส้นผมสีทองอ่อนยาวสลวย ดวงตาสีแดงสดราวกับเลือด แถมยังเปล่งประกายอย่างสง่างามตลอดเวลา
ทำไมถึงได้คุ้นหน้านัก…
ไคลน์พึมพำ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ