อมิรุสกับออสเท่นวางแผนอะไรไว้ ถึงได้ถูกตักเตือนจากสภานักสิทธิ์สนธยา…
อย่าเอาตัวเข้าไปขวางกระแสแห่งเวลา…
กุญแจสำคัญคือผลกระทบต่อประวัติศาสตร์… องค์กรลับที่แทบไม่เคยปรากฏตัวอย่างพวกมัน เหตุไฉนตัดสินใจเปิดเผยตัวและออกมาเตือนอย่างโจ่งแจ้ง?
ไคลน์กำลังยืนบนยอดปราสาทหลังใหญ่และสง่างามภายในดินแดนความฝัน สายตาจ้องไปยังจุดที่บุคคลลึกลับเพิ่งหายตัวไป
ท่ามกลางชุดความคิดอันเหม่อลอย ชายหนุ่มเริ่มได้สติ ภายในใจฉุกคิดถึงทฤษฎีใหม่ :
บางที นายพลอมิรุสกับน้องชายอาจไม่ได้ทำอะไรที่ส่งผลกระทบต่อประวัติศาสตร์…
แม้จุดมุ่งหมายหลักของสภานักสิทธิ์สนธยาจะเป็นการแทรกแซงเหตุการณ์ที่สำคัญของประวัติศาสตร์ แต่ในฐานะผู้นำองค์กรลับ ไคลน์ย่อมทราบดีว่า สมาชิกในองค์กรหลายคนต่างก็มีจุดประสงค์ส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายหลัก และในบางครั้ง กลุ่มสมาชิกจะมอบหมายภารกิจระหว่างกันเอง โดยที่องค์กรทำตัวเป็นเพียงพยานรู้เห็น
แม้แต่ในไดอารีจักรพรรดิโรซายล์ก็ยังมีเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า สมาชิกแต่ละคนของสภานักสิทธิ์สนธยาคือผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขา มีเส้นทางและลำดับแตกต่างกันไป หากไม่นับกลุ่มที่เชื่อในพระผู้สร้างต้นกำเนิด และรอคอยให้สนธยาตามคำทำนายมาถึง สมาชิกอื่นเช่นโรซายล์ต่างมีจุดมุ่งหมายส่วนตัว ตราบใดที่องค์กรมิได้ออกกฎห้ามปราม คงเลี่ยงการมอบหมายภารกิจระหว่างสมาชิกกันเองไม่ได้
บางที… แผนการของออสเท่น·รีเวลต์อาจส่งผลกระทบกับหนึ่งในสภานักสิทธิ์สนธยา และอีกฝ่ายสามารถหยั่งรู้ล่วงหน้าด้วยวิธีการบางอย่าง จึงฝากฝังให้สมาชิกคนอื่นมาเตือนอมิรุสโดยใช้ข้ออ้าง ‘อย่าขัดขวางกระแสแห่งเวลา’ ตามสไตล์ขององค์กร…
ถ้ามองจากมุมนี้ เรื่องราวชักเริ่มน่าสนใจ…
ด้วยศักยภาพของสภานักสิทธิ์สนธยา หากต้องการรับมือลำดับ 4 ‘นักสานกฎหมาย’ การให้เทวทูตออกโรงสักสามสี่ตนคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงสักเท่าไร นับเป็นขุมกำลังที่เหนือชั้นยิ่งกว่าเจ็ดโบสถ์หลักเสียอีก…
แต่ว่า ทำไมถึงไม่จัดการทันที เพียงตักเตือน?
หากเป็นในเบ็คลันด์ยังพอเข้าใจได้ ที่พวกมันจะไม่ส่งเทวทูตลอบสังหารดยุคนีแกนโดยตรง นั่นเพราะเกรงว่าตัวตนระดับเทพธิดารัตติกาลหรือเทพวายุสลาตันจะ ‘ลงมาเยือน’ และไล่ตะเพิดจนหาทางกลับบ้านไม่ถูก แต่ที่นี่คือเกาะโอลาวีแสนห่างไกล มีครึ่งเทพคอยปกป้องอารักขาแทบจะนับนิ้วได้…
หรือว่า สาเหตุที่ทำเพียงตักเตือน เพราะสภานักสิทธิ์สนธยาไม่ต้องการให้เรื่องแดง? นั่นสินะ ความตายของครึ่งเทพแห่งกองทัพเรือคงทำให้ทุกฝ่ายหันมาสนใจ…
หืม… พวกมันไม่ต้องการให้เรื่องแดง หรือว่าสมาชิกที่มอบหมายงาน ไม่ต้องการให้อมิรุสตายกันแน่?
เป็นไปได้… ในสายตาของมัน อมิรุสอาจยังเป็น ตัวหมากที่ยังมีใช้งานได้ ถึงแม้จะมีโอกาสเข้ามาขัดขวางแผนการก็ตาม… การปล่อยให้อมิรุสมีชีวิตอยู่ต่อไป จะเกิดประโยชน์มากกว่าฆ่าทิ้ง?
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง เราสามารถตีกรอบเพื่อระบุตัวตน ‘ผู้จ้างวาน’ ให้แคบลงได้
ถึงจะไคลน์ผุดทฤษฎีใหม่ แต่มันก็ไม่มีข้อมูลสำหรับยืนยัน ทำได้เพียงเก็บประเด็นความสงสัยเอาไว้ในใจ รอโอกาสดึงออกมาใช้งานภายหลัง
คนที่สภานักสิทธิ์สนธยาตักเตือนคือตัวนายพลอมิรุส ไม่ใช่เราสักหน่อย… ขอเพียงเราไม่ทำพลาดในช่วงสองสามวันหลังจากนี้ และเอาตัวรอดได้จนกระทั่งนายพลกลับมา หลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นก็ช่าง… ไม่เกี่ยวกับเราอีกต่อไป!
หากประเมินจากขุมพลังในปัจจุบันของเรา การจะสืบสวนสภานักสิทธิ์สนธยายังเป็นเรื่องไกลตัวมาก ไม่ควรเสี่ยงชีวิตโดยไม่จำเป็น…
ไคลน์เชื่อสัญชาตญาณตัวเอง พิจารณาว่าความแข็งแกร่งของชุมนุมทาโรต์ยังไม่เพียงพอ
อีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจก็คือ องค์กรลับอื่นจะให้ความสำคัญกับเป้าหมายหลักเป็นอันดับแรกเสมอ โดยเป้าหมายส่วนตัวของแต่ละสมาชิกจะเป็นประเด็นรอง แต่ในทางกลับกัน ชุมนุมทาโรต์ของเรากลับเน้นช่วยสมาชิกกันเองก่อน แทบไม่มีเป้าหมายหลักหรือคติพจน์ให้ยึดเหนี่ยว…
ไม่สิ ในสายตาสมาชิกคนอื่น ชุมนุมทาโรต์อาจมีเป้าหมายสักอย่างสองอย่าง ตามที่แต่ละคนจะจินตนาการกันเอาเอง ยกตัวอย่างเช่น มิสเตอร์มูนเชื่อว่า ชุมนุมทาโรต์มีเพื่อช่วยเหลือทุกคนให้รอดพ้นจากวันสิ้นโลก…
ไคลน์ เดอะฟูล หัวเราะในลำคอ ส่งตัวเองออกจากดินแดนความฝัน
มันใช้มือปาดดวงตาปลอม ตามด้วยการตวัดดวงตาจริงบนโหนกแก้มกลับตำแหน่งเดิมอย่างชำนาญและลื่นไหล จากนั้นก็ชะงักมือค้างไว้เล็กน้อย โดยภายในใจพลันฉุกคิด :
เดี๋ยวก่อน… เมื่อครู่ไม่ใช่ความฝันธรรมดา…
หลังจากตระหนักถึงความต่าง ไคลน์ขมวดคิ้ว
แล้วทำไมในตอนแรก อีกฝ่ายถึงพยายามดึงเราเข้าสู่ห้วงความฝัน?
ในเมื่อเรากำลังหลับ แค่บุกรุกเข้ามาก็เพียงพอไม่ใช่หรือ ทำไมต้องพยายามดึงเข้าสู่ความฝันให้วุ่นวาย? หัวหน้าเคยบอกว่า ลำดับ ‘ฝันร้าย’ จะมองเห็นความฝันของทุกคนโดยตรง ไม่มีทางทำพลาดเรื่องพื้นฐานแบบนี้…
ผู้บุกรุกไม่ได้ใช้พลังฝันร้าย เป็นเส้นทางอื่น…
ระบุตำแหน่งของเราจากวิญญาณดารา?
เมื่อทราบตำแหน่งที่แน่ชัด จึงทำการบุกรุก ‘ทะเลห้วงจิตรวม’ ที่มาดามดาลีย์เคยพูดถึง และสื่อสารกับร่างวิญญาณของเราโดยตรง?
อย่างหลังมีความเป็นไปได้สูง เพราะสามารถอธิบายได้ว่า ทั้งที่เราตระหนักถึงร่างกายทุกส่วนบนโลกความจริง แต่กลับมิอาจออกจากฝันของตัวเองได้ โรซายล์มหาราชเคยกล่าวไว้ในไดอารี ขณะเข้าร่วมชุมนุมลับที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นสภานักสิทธิ์สนธยา มันรู้สึกคล้ายกับผืนทวีปทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยดินแดนความฝัน เป็นความฝันอย่างแท้จริง…
ไคลน์พยักหน้ารับ ถอนหายใจพลางยิ้ม
นายพลอมิรุสมิได้กำชับเราล่วงหน้าว่าจะมีคำเตือนจากสภานักสิทธิ์สนธยา… เขาไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อน…
หรือก็คือ หากคนที่ปลอมเป็นอมิรุสไม่ใช่เรา ความจริงก็จะถูกเปิดโปงทันที… หึหึ… ไม่มีใครเหมาะสมกับยันต์กฎหมายที่เก้าเท่าเราอีกแล้ว…
…
เมืองเงินพิสุทธิ์ ด้านในหอคอย
ณ ห้องทำงานเจ้าเมือง โคลิน·อีเลียด
เดอร์ริค ผู้ถูกเรียกตัวเข้าพบ เริ่มออกอาการประหม่าเมื่อชำเลืองเห็นเส้นผมสีเทาและรอยแผลเป็นลึกบนแก้มอีกฝ่าย
หลังจากเห็นเด็กหนุ่มทำความเคารพเสร็จ โคลินสำรวจหัวจรดเท้าหนึ่งรอบ ตามด้วยกล่าว
“เลื่อนลำดับแล้วใช่ไหม”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ