“ผมเพิ่งเข้าร่วมทีมสำรวจหมู่บ้านยามบ่ายที่นำโดยท่านเจ้าเมือง… นี่คือเส้นทางเดียวที่เข้าสู่วังราชาคนยักษ์ได้ เป็นประตูซึ่งแบ่งแยกตำนานและความจริงออกจากกัน”
คำเกริ่นนำของเด็กหนุ่มกระตุ้นให้สมาชิกชุมนุมทาโรต์ทุกคนทวีความอยากรู้อยากเห็น แต่ละคนตั้งท่ารอฟังด้วยใจจดจ่อ
เดอร์ริคเล่าข้ามเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างทาง พุ่งความสำคัญไปยังเหตุการณ์หลังจากมาถึงหมู่บ้านยามบ่าย อันดับแรก เด็กหนุ่มเล่าถึงบรรยากาศอันมืดมนและเงียบสงัดของที่นั่น จากนั้นก็เล่าเหตุการณ์ขณะทีมสำรวจสามคนค้นพบแท่นบูชาในห้องใต้ดิน เล่าถึงวินาทีที่ตนเอ่ยนามของโอโรเลอุส เมดีซี และซาสเรียจนถูกส่งไปยังอีกฝั่งของหมู่บ้าน เล่าเรื่องที่ตนได้อ่านเนื้อหาเต็มๆ บนแท่นบูชาซึ่งเขียนถึงสมญานาม ‘เทวทูตมืด’ และ ‘กุหลาบไถ่บาป’
ถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มเว้นวรรคเพื่อขอบคุณมิสเตอร์ฟูล ที่ช่วยให้ตนรอดพ้นจากวิกฤติดังกล่าว
ถัดมา เดอร์ริคเล่าถึงเรื่องสัตว์ประหลาดเงาดำที่สามารถจำแลงกายเป็นมนุษย์ ไปจนถึงนักบวชในชุดคลุมสีขาวผู้เอาแต่สารภาพบาปในวิหาร
เด็กหนุ่มเล่าเน้นย้ำประโยคที่นักบวชท่องซ้ำไปซ้ำมา โดยปิดท้ายว่า ในวินาทีที่นักบวชพยายามเอ่ยนามของราชาเทวทูตตนที่สี่ เพลิงมายาสีใสพลันลุกท่วมร่างจนกลายเป็นเถ้าถ่าน
อีกหนึ่งราชาเทวทูต! เหนือสิ่งอื่นใด บรรยากาศของหมู่บ้านยามบ่ายช่างน่ากลัวนัก แถมคำสารภาพบาปของนักบวชก็ยังดูเหมือนกับ… เอ่อ… เหมือนกับคำพยากรณ์มหาภัยพิบัติ… ออเดรย์นั่งฟังเรื่องราวด้วยความปลื้มปริ่ม ในใจทวีความอยากรู้ชื่อที่อีกฝ่ายไม่ได้กล่าวออกมา
ทันใดนั้น เดอร์ริค ‘เดอะซัน’ มองไปยังหัวมุมโต๊ะทองแดงยาว ซักถามด้วยความเคารพ
“มิสเตอร์ฟูลขอรับ… ผู้ที่ล่อลวง ‘เทวทูตมืด’ ซาสเรียเป็นใครกัน? นามที่สี่มีชื่อว่าอะไร? แล้วเหตุใดเขาถึงกล่าวออกมาไม่ได้”
นั่นปะไร… ด้านหลังม่านหมอก รอยยิ้มของไคลน์พลันแข็งทื่อ
ย้อนกลับไปในเหตุการณ์ก่อนหน้า ชายหนุ่มรีบส่งเดอะซันน้อยกลับเพราะไม่ต้องการตอบคำถามในทำนองเดียวกัน!
มันกลัวว่าเดอะซันจะถามเกี่ยวกับ ‘เทวทูตมืด’ ซาสเรียซึ่งตนไม่มีคำตอบใดจะมอบให้
แต่โชคยังดี นักมายากลจะไม่ขึ้นเวทีโดยไม่เตรียมตัวเด็ดขาด หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ไคลน์พยายามครุ่นคิดหาคำตอบไว้ล่วงหน้า ทันใดนั้น ชายหนุ่มวางมือลงบนที่พักแขน เผยรอยยิ้มเล็กน้อยและกล่าวด้วยดวงตาแฝงความนัย
“นั่นเป็นความลับ”
ไคลน์แสดงสายตาและอากัปกิริยาที่บอกใบ้ให้สมาชิกชุมนุมทาโรต์พบความผิดปรกติของวลี ‘ความลับ’ พยายามสื่อให้พวกเขาตระหนักว่า ถ้อยคำดังกล่าวมีความนัยแฝงอย่างลึกซึ้ง ส่วนจะเป็นสิ่งใดนั้น ให้ทุกคนไปตีความกันเอาเอง เหล่าทวยเทพล้วนมีเหตุผลให้ต้องปกปิด
หลังจาก ‘แสดง’ เสร็จ ไคลน์เริ่มรู้สึกผิดในใจ มันตระหนักว่าตนชักทำตัวเหมือนนักต้มตุ๋นเข้าไปทุกวัน ขณะเดียวกันก็เริ่มฉุกคิดได้ว่า การที่มาดามเฮอร์มิทชอบมองทะลุม่านหมอกเข้ามาสำรวจตน เป็นเพราะตนมักบอกใบ้ผ่านอากัปกิริยาแทนการพูดตรงๆ บ่อยครั้ง ส่งผลให้บรรดาสมาชิกต้องเงยหน้ามองเพื่อตรวจสอบท่าทีของเดอะฟูล
ขอโทษด้วย ที่ต้องทำแบบนี้ก็เพราะเราจนปัญญาจะตอบ… ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว… เราไม่ใช่เทพมารสักหน่อย! ไคลน์ทำได้เพียงถอนหายใจเงียบ
ความลับ…? แค่ชื่อก็เป็นความลับแล้ว? หรือนี่จะเป็นคำเตือนจากมิสเตอร์ฟูล… ถ้าแค่ชื่อยังต้องเป็นความลับ อีกฝ่ายเป็นตัวตนระดับใดกันแน่? เทพแท้จริงลำดับ 0? ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ครุ่นคิดหลายสิ่ง เมื่อผนวกกับเรื่องราวจากปากเดอะซันน้อย มันสามารถคาดเดาได้หนึ่งทฤษฎี
หืม… แค่ชื่อก็ยังเป็นความลับ… มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกี่ยวข้องกับเทพแท้จริง และอาจไม่ใช่ใครนอกจากเทพธิดารัตติกาล เพราะหนึ่งในพระนามของเธอคือ ‘มารดาแห่งความลับ’ ! ความมืดมิดที่แสนอันตรายของดินแดนเทพทอดทิ้งเองก็สอดคล้องกับเรื่องนี้… แคทลียา ‘เฮอร์มิท’ อาศัยคำบอกใบ้ของมิสเตอร์ฟูล อนุมานบางสิ่งอย่างไร้หลักฐาน
ขณะเดียวกัน เธอค่อนข้างแน่ใจว่า ภัยพิบัติที่นักบวชกล่าวถึง จะต้องเป็น ‘มหาภัยพิบัติ’ ซึ่งถือเป็นจุดสิ้นสุดยุคสมัยที่สาม
ราชาเทวทูตผู้ถูกล่อลวง… ชาวบ้านยามบ่ายที่ละทิ้งจิตวิญญาณ… หมู่บ้านที่ถูกกัดกร่อนทีละนิด… ‘บุปผาแห่งหายนะ’ สีดำที่ระเบิดออก… ประวัติศาสตร์ซึ่งถูกฝังกลบไปพร้อมกับยุคสมัยดังกล่าว… เหตุการณ์ที่เป็นจุดเริ่มต้นของดินแดนเทพทอดทิ้ง… ช่างเป็นประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยความดำมืดและเข้มข้น… แคทลียาถอนหายใจด้วยอารมณ์ซับซ้อน
ขณะสมาชิกชุมนุมทาโรต์กำลังครุ่นคิด ‘เดอะฟูล’ ไคลน์พยายามวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่นามดังกล่าวว่างเปล่าและมิอาจเอ่ยออกมา
หรือว่านั่นคือพระนามของเทพแท้จริง? เทพแท้จริงผู้ล่อลวง ‘เทวทูตมืด’ ซาสเรีย… หมายความว่า ราชาเทวทูตคนที่สี่ซึ่งพระนามสูญหายไป กลายมาเป็นเทพแท้จริงในภายหลัง?
แต่ใช่ว่าเราจะไม่เคยเอ่ยนามของเทพมาก่อนสักหน่อย… หลายฝ่ายต่างทราบว่าแม่มดบรรพกาล ‘ชีค’ มีระดับเทียบเท่าเจ็ดเทพจารีต และไม่เคยมีใครได้รับอันตรายจากการเอ่ยพระนาม…
หรืออาจจะเกี่ยวกับภาษาที่ใช้? อินทิส ฟุซัค หรือกระทั่งฟุซัคโบราณ ถือเป็นภาษาที่มิได้กระตุ้นพลังธรรมชาติ แต่ภาษาคนยักษ์ของเมืองเงินพิสุทธิ์นั้นต่างออกไป… ดูเหมือนว่านักบวชคนดังกล่าวจะใช้ภาษาที่คล้ายกับคนยักษ์…
หรือเราควรเอ่ยชื่อ ‘ชีค’ บนโลกความจริงด้วยภาษาคนยักษ์? จากนั้นก็ตายคาที่… ประสบความสำเร็จในการรนหาความตาย… เรื่องนั้นช่างมันก่อน… การที่ชื่อหนึ่งว่างเปล่า กับอีกชื่อหนึ่งมิอาจเอ่ยออกมา อาจหมายถึงคนละคน… เรายังไม่รู้สาเหตุเบื้องลึก…
ขณะเดียวกัน เมื่อเห็นเดอะซันน้อยกำลังสับสน ไม่เข้าใจความนัยแฝงของมิสเตอร์ฟูล ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์รีบอธิบายอย่างกระตือรือร้น
“ทั้งสองชื่ออาจหมายถึงพระนามของเทพแท้จริงสององค์ เป็นเหตุผลที่พูดออกมาไม่ได้… บางที บุคคลที่ล่อลวง ‘เทวทูตมืด’ ซาสเรียอาจเป็นพระผู้สร้างแท้จริง ส่งผลให้หมู่บ้านยามบ่ายและเหล่าราชาเทวทูตถึงคราวล่มสลาย นำไปสู่เหตุการณ์มหาภัยพิบัติ และยังเป็นสาเหตุว่าทำไมดินแดนเทพทอดทิ้งแห่งนี้จึงหลงเหลือเพียงวิหารของท่านผู้นั้น… สำหรับราชาเทวทูตคนที่สี่ ท่านอาจได้รับผลประโยชน์จากเหตุการณ์มหาภัยพิบัติ จนสามารถเลื่อนขั้นกลายเป็นเทพแท้จริงได้ในภายหลัง”
คล้ายคลึงกับข้อสันนิษฐานของเรา แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน… แคทลียามิได้กล่าวเสริม เธอยังไม่ปักใจเชื่อว่า สมมติฐานที่ตรงกันระหว่างตนกับแฮงแมน คือความจริงของเรื่องพิศวงนี้
ทั้ง ‘ออเดรย์’ จัสติส ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์ส และ ‘เดอะมูน’ เอ็มลินต่างตั้งใจฟังโดยไม่ขาดตกบกพร่อง ขณะเดียวกันก็ทำได้เพียงถอนหายใจเงียบ เพราะทุกครั้งที่ชุมนุมทาโรต์เข้าสู่ช่วงเวลาแลกเปลี่ยนข้อมูลอิสระ หัวข้อสนทนามักหนีไม่พ้นเรื่องในระดับสูงจำพวกราชาเทวทูต เทพมาร เทพแท้จริง หรือไม่ก็ความลับโบราณ ซึ่งสำหรับพวกเขาล้วนเป็นสิ่งที่ฟังดูไกลตัว
“งั้นหรือ… เข้าใจแล้ว” คล้ายกับ ‘เดอะซัน’ ฉุกคิดบางสิ่งได้ เด็กหนุ่มหันไปขอบคุณมิสเตอร์ฟูลอีกครั้งจากก้นบึ้ง
ขณะเตรียมเบือนหน้ากลับ เดอร์ริคนึกบางอย่างออกพอดี จึงซักถามด้วยน้ำเสียงกังวล
“มิสเตอร์ฟูล กุญแจสำคัญในการออกจากดินแดนเทพทอดทิ้ง ซ่อนอยู่ในวังราชาคนยักษ์จริงหรือขอรับ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ