ชายหนุ่มกังวลว่ามัมมี่ต้องสาปจะสร้างอันตรายต่อผู้คนในโลกหนังสือ – แม้หนังสือเล่มนี้จะเต็มไปด้วยผู้วิเศษที่แข็งแกร่ง และมัมมี่ตูตันส์ที่สองก็มิได้ถูกกระตุ้นให้กระฉับกระเฉงด้วยนกหวีด แต่อย่างน้อย มันเคยเป็นถึงครึ่งเทพในตอนที่ยังมีชีวิต คำสาปที่เกิดขึ้นหลังความตายย่อมไม่ธรรมดา หากไม่ใช่เพราะชารอนมอบมุกสีทองที่ช่วยป้องกันคำสาป ถึงจะเป็นไคลน์ก็ไม่กล้าเข้าใกล้ส่งเดช
แต่ถึงอย่างนั้น ไคลน์ก็ยังกล้าใช้ ‘การเดินทางของกรอซาย’ เพื่อขโมยมัมมี่ เพราะประสบการณ์ส่วนตัวและประสบการณ์ของคนรอบข้างต่างยืนยันตรงกันว่า บุคคลที่ถูกส่งเข้ามาในโลกหนังสือ จะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าชาวเมืองโดยตรงทันที ต้องใช้เวลาสำรวจสักพักก่อน โดยเฉพาะกับคนที่เพิ่งเคยเข้ามาเป็นครั้งแรก!
ดังนั้น ไคลน์เชื่อว่ามัมมี่ตูตันส์ที่สองน่าจะถูกนำมาปล่อยในสถานที่ปลอดคน และด้วยสภาพปัจจุบันของ ‘ซอมบี้’ ตัวนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่จะทำเพียงเดินเร่ร่อนไปมาอย่างไร้จุดหมาย มิได้ออกสำรวจหาเมืองเหมือนกับมนุษย์ เอลฟ์ และคนยักษ์
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตราบเท่าที่ไม่ปล่อยทิ้งไว้นานเกินไป ก็ไม่น่าจะมีความสูญเสียเกิดขึ้นกับชาวเมือง และนับจากตอนที่ไคลน์ป้ายดินลงบนปกหนังสือ ปัจจุบันเพิ่งผ่านมาเพียงสองถึงสามนาที
หลังจากมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่แท่งวิญญาณบอก ไคลน์มาถึงภูเขาใกล้เคียงและมองเห็นหุบเขา
จากนั้นก็มองเห็นมัมมี่ที่พันด้วยผ้าลินินสีน้ำตาลอมเหลือง ร่างกายชุ่มของเหลวสีแดงเข้ม บนใบหน้ายังคงสวมหน้ากากสีทอง
มันส่งเสียงคำรามต่ำที่ฟังดูไม่เหมือนมนุษย์ สองเท้าย่ำเข้าหาไคลน์ท่ามกลางบรรยากาศมืดสลัว
ในขณะเดียวกัน ซากสัตว์สภาพขาดวิ่งบนพื้นดิน เริ่มตะเกียกตะกายวิ่งมาทางไคลน์อย่างยากลำบาก
ไคลน์ที่ร่างวิญญาณถูกเสริมพลังด้วยนกหวีดทองแดงอะซิก หัวเราะหึหึในลำคอ
“มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันทีเลยนะ…”
ชายหนุ่มโยนกิ่งไม้แห้งทิ้งไป หยิบวัตถุสีดำเข้มขึ้นมาแทน
นี่คือตะกอนพลังของ ‘นักปลอบวิญญาณ’ ที่ถูกปลดปล่อยออกจากยุบพองหิวโหยรุ่นกลายพันธุ์ กึ่งกลางตะกอนมีจุดแสงบริสุทธิ์ ดูคล้ายกับค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาว
คลื่นล่องหนแผ่ออกจากวัตถุสีดำอย่างแผ่วเบา ส่งผลให้บรรยากาศรอบๆ มืดลงเล็กน้อย ดูคล้ายกับช่วงเวลาค่ำคืน
บรรยากาศสุขสงบและร่มเย็นมาพร้อมกับแสงดาวสีจางๆ ส่งผลให้ซากสัตว์ขาดวิ่นที่พยายามลุกขึ้น ล้มลงกลับไปนอนพักผ่อนอย่างเป็นนิรันดร์
มัมมี่ตูตันส์ที่สองเองก็ลดความเร็วลง ย่างก้าวเชื่องช้าลงทีละนิด แต่ยังไม่ถึงกับเสียหลักล้ม
อย่างที่คิด การใช้งานตะกอนพลังตรงๆ จะทำให้ประสิทธิภาพของพลังต่ำลง แถมยังมีผลข้างเคียงรุนแรง… ไคลน์อดไม่ได้ที่จะยกมือซ้ายขึ้น ปิดปากหาว
หาวเสร็จ ชายหนุ่มกระตุ้นให้ยุบพองหิวโหยเปลี่ยนเป็นสีเขียว ใช้พลังของ ‘ซอมบี้’ เพื่อควบคุมซอมบี้ตรงหน้าโดยตรง
การซ้อนทับกันของพลังสองชนิดช่วยให้มัมมี่ตูตันส์ที่สองสงบลงในที่สุด
ในสภาพสวมหน้ากากที่ช่องดวงตาทำจากอัญมณีสีดำ มัมมี่ค่อยๆ เดินมาหยุดยืนหน้าไคลน์ ประหนึ่งคนรับใช้มืออาชีพ
น่าเสียดาย เจ้านี่เป็นมัมมี่ต้องสาป… ไคลน์หยิบไข่มุกสีทองที่มีกลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์ของอาณาจักรที่ราบสูงโบราณออกจากร่างวิญญาณ บนผิวไข่มุกสลักลวดลายสีเขียวอมฟ้า
ไข่มุกเม็ดนี้เป็นของชารอน ถูกสร้างขึ้นเพื่อรับมือกับมัมมี่ตูตันส์ที่สองโดยเฉพาะ สามารถระงับคำสาปได้ชะงักงัน ไม่อย่างนั้น ลำพังวิญญาณอาฆาตจะกล้าหมายตามัมมี่ของฟาโรห์เชียวหรือ?
ตรวจสอบไข่มุกสีทองสักพัก ไคลน์บังคับให้มัมมี่ตูตันส์ที่สองอ้าปาก จากนั้นก็ยัดไข่มุกเข้าไปในช่องว่างบริเวณปากของหน้ากาก
เพียงสองถึงสามวินาที บรรยากาศสลัวโดยรอบสลายไปทันที
จัดการทั้งหมดเสร็จ ชายหนุ่มก้าวไปข้างหน้าเพื่อสิงร่างมัมมี่ จากนั้นก็ตัดการเชื่อมต่อทันที ส่งตัวเองกลับสู่มิติหมอกเทา
มัมมี่ตัวนี้กลายเป็น ‘ซอมบี้’ ส่วนตัวของไคลน์จากพลังถุงมือ ลักษณะคล้ายกับ ‘หุ่นเชิด’ เซนอล จึงสามารถนำออกจากหนังสือได้ทันทีโดยไม่ต้องยัดใส่ร่างกาย
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีรับมอบ มัมมี่ตูตันส์ที่สองซึ่งอัดแน่นด้วยพลังวิญญาณ ถูกส่งกลับสู่โลกความจริง ปรากฏตัวภายในห้องพักราคาถูกของเขตตะวันออก
เก็บกวาดเสร็จ ไคลน์เตรียมยื่นมือขวาออกไปจับไหล่มัมมี่เพื่อใช้พลัง ‘ท่องเที่ยว’ พาไปยังห้องพักที่ชารอนและมาริคเช่าไว้
แต่หลังจากเห็นผ้าลินินสีน้ำตาลอมเหลืองที่มันเยิ้ม เห็นหัวไหล่มัมมี่ที่ชุ่มไปด้วยของเหลวสีแดงเข้ม ไคลน์ชักมือขวากลับและเปลี่ยนไปจับด้วยมือซ้ายที่สวมถุงมือแทน
หลังจากจับไหล่มัมมี่ด้วยมือซ้าย บริเวณดังกล่าวพลันโปร่งใส ก่อนจะกระจายออกไปทั่วทั้งร่าง
เพียงพริบตา ไคลน์กลับมาถึงห้องนอนก่อนหน้าพร้อมกับมัมมี่
ชายหนุ่มไม่รีบร้อนเปิดประตูเพื่อนำเสนอผลงานให้ชารอนและมาริคเชยชม แต่หยิบนาฬิกาพกสีทองออกมากดปุ่มเปิด
ยังเหลืออีกสามสิบหกวินาที ก่อนจะครบห้านาที… ไคลน์สั่งให้มัมมี่ตูตันส์ที่สองลากเก้าอี้มาวางให้ จากนั้นก็นั่งลง
ผ่านไปสักพัก ในที่สุดชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงเคาะประตู
“เข้ามา” ไคลน์ตอบด้วยรอยยิ้ม จัดระเบียบร่างกายมัมมี่ให้อยู่ในท่าทักทาย
เมื่อประตูไม้เปิดออกดังแอ๊ด กระจกตาชารอนและมาริคพลันสะท้อนภาพหน้ากากลึกลับสีทอง ร่างพันผ้าสีน้ำตาลอ่อน
ด้วยอัญมณีสีดำหม่นบริเวณดวงตา มัมมี่ค่อยๆ ทิ้งตัวลงนอนบนพื้น
“…” ในพริบตาดังกล่าว ชารอนและมาริคหมดคำพูดเป็นเวลานาน
หลังจากยืนยันว่านกหวีดทองแดงอะซิกถูกผนึกด้วยกำแพงวิญญาณและไม่สร้างอิทธิพลใด ไคลน์ปลดปล่อยการควบคุมมัมมี่ให้เป็นอิสระ ชี้นิ้วไปทางมัมมี่ที่นอนบนพื้นและกล่าว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ