ถัดมา มันทำตามคำอธิบายของเดอร์ริค·เบเกอร์ ทั้งด้านหน้าและด้านหลังของแผ่นเงินมีการวาดสัญลักษณ์ลึกลับที่ของ ‘เดอะฟูล’
ตลอดกระบวนการ โคลินลงมืออย่างรวดเร็ว หากมีคนที่ไม่รู้จักมาเห็นเข้า คงมองตามการเคลื่อนไหวไม่ทัน และท้ายที่สุด ผลลัพธ์ออกมาอย่างไม่มีข้อบกพร่อง คล้ายกับงานศิลป์ที่ถูกแกะสลักอย่างเชื่องช้ามาตลอดหลายวัน
ถัดมา โคลิน·อีเลียดหยิบขวดปรอทอีกขวด ใช้พลังวิญญาณที่ทรงพลังนำทางของเหลวภายในให้ไหลเข้าสู่แผ่นยันต์ เติมเต็มอักขระทุกบรรทัด ควบคุมไม่ให้ปรอทไหลออก ไม่ตกลงไปด้านล่างด้วยผลจากแรงโน้มร่วง
ทำซ้ำอีกครั้งจนกระทั่งเสร็จยันต์แผ่นที่สอง โคลิน·อีเลียดนำพวกมันมาวางไว้ด้านหน้าเทียนไข ใกล้กับหนอนกาลเวลาสีใสสองตัว
เมื่อเทียบกับตอนที่โคลินยืนนิ่งด้วยมาดสุขุม โคลินในปัจจุบันดูเยือกเย็นมากกว่าแต่ก่อน ปราศจากความลังเลโดยสิ้นเชิง เช่นเดียวกับตอนที่กำลังเผชิญหน้าสัตว์ประหลาดดุร้ายในความมืด
เมื่อเตรียมความพร้อมสำหรับพิธีกรรมเสร็จ มันถอยหลังไปสองก้าว ถอดดาบยาวที่แขวนบนผนัง จากนั้นก็นำมาสอดเข้าไปในช่องว่างระหว่างกระเบื้องกับขอบประตู
โคลินหลับตาและพึมพำ แสงบริสุทธิ์เริ่มแผ่ออกมาจากความว่างเปล่าโดยรอบ ครอบคลุมดาบยาวทั้งสองเล่มด้วยความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์และสง่างาม
เมื่อแสงมารวมตัวมากขึ้นเรื่อยๆ พวกมันค่อยๆ แปรสภาพกลายเป็นกระแสน้ำ ไหลไปตามช่องว่างระหว่างกระเบื้องกับผนังห้อง เกิดเป็น ‘กรง’ ที่ตัดขาดภายในและภายนอกออกจากกัน
ใจจริง ในฐานะ ‘นักล่าปีศาจ’ อาวุโสโคลิน·อีเลียดไม่อยากป้องกันตัวมากเกินไประหว่างประกอบพิธีกรรม เพราะนั่นอาจทำให้เป้าหมายที่สวดวิงวอนถึงเกิดความระคายเคือง นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในแง่ลบที่อาจก่อให้เกิดอันตราย แต่ท้ายที่สุด มันก็เลี่ยงการสร้างแนวป้องกันไม่ได้ แน่นอน นี่มิใช่การทำเพื่อตัวเอง แต่เป็นหลักประกันให้กับชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ทุกคน ถึงแม้พิธีกรรมจะล้มเหลว ถึงแม้ ‘เดอะฟูล’ จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่มุ่งร้ายและอันตราย ถึงแม้โคลินจะต้องตายหน้าแท่นบูชา แต่เมืองเงินพิสุทธิ์ทั้งหมดจะต้องไม่ได้รับความเสียหายใหญ่หลวง
สำหรับความสามารถในการป้องกันของ ‘กรง’ โคลินผู้เป็นเจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ค่อนข้างมั่นใจ เพราะนี่เป็นพลังที่เกิดจากสมบัติปิดผนึกระดับเทพโดยตรง – มงกุฎที่ราชาคนยักษ์เคยสวม
หลักฐานแห่งความรุ่งโรจน์!
สิ่งนี้คือสาเหตุที่ทำให้เมืองเงินพิสุทธิ์สามารถเอาตัวรอดมาได้นานท่ามกลางยุคสมัยที่มืดมิดและเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาด!
จัดการทั้งหมดเสร็จ โคลิน·อีเลียดใช้โต๊ะทำงานแทนแท่นบูชา แผ่พลังวิญญาณเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ศักดิ์สิทธิ์และสะอาดซึ่งไม่มีใครสามารถรบกวน ตามด้วยการจุดเทียนไขทั้งสามเล่ม
ภาพของแสงอันเจือจางที่โยกคลอนแผ่วเบากำลังสะท้อนบนกระจกตาโคลิน มันก้มศีรษะลง โรยผงพืชพรรณลงบนเปลวไฟเทียนไขที่เดอร์ริค·เบเกอร์กล่าวถึง รวมถึงการนำหนังและขนของสัตว์ประหลาดใส่ลงในหม้อต้มและจุดไฟ เพื่อให้เป้าหมายของการสวดวิงวอนโปรดปราน
พิธีกรรมในทำนองนี้ สำหรับเมืองเงินพิสุทธิ์แล้วไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะมีการบวงสรวงต่อพระผู้สร้างอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็มีหลายครั้งที่ชาวเมืองหรือทีมสำรวจถูกล่อลวงให้ประกอบพิธีกรรมถึงตัวตนลึกลับและนิรนาม
ในกรณีหลัง ส่วนใหญ่เกิดขึ้นโดยที่เจ้าตัวไม่มีสติ แต่ก็มีกลุ่มคนส่วนน้อยที่ตั้งใจประกอบพิธีกรรมถึงตัวตนลึกลับเอง ในแง่หนึ่งอาจเป็นเพราะความสิ้นหวังที่มีต่อพระผู้สร้างซึ่งไม่เคยตอบสนองสิ่งใดเลยนานกว่าพันปี จึงหวังจะได้รับความช่วยเหลือจากตัวตนอื่น ขณะเดียวกัน ‘หกสภาอาวุโส’ ของเมืองเงินพิสุทธิ์เมื่อหลายรุ่นก่อนได้เห็นพ้องต้องกันว่า พระผู้สร้างคงทอดทิ้งดินแดนแห่งนี้และไม่หวนกลับมาอีกแล้ว จึงลองมองหาตัวตนใหม่ๆ เพื่อให้เมืองเงินพิสุทธิ์ก้าวต่อไป แต่น่าเสียดายที่ความพยายามเหล่านั้นล้มเหลวไม่เป็นท่า ผลลัพธ์มีเพียงความเงียบสงบหรือไม่ก็ความตาย
เพราะเหตุนี้ พวกมันจึงเลิกเอาชีวิตไปเสี่ยง ไม่ว่าจะเผชิญกับความยากลำบากมากเพียงใด ไม่ว่าจะค้นพบที่ถูก ‘เทพมาร’ ทำลายไปมากมายแค่ไหน แต่หน่วยสำรวจของเมืองพิสุทธิ์ก็ไม่เคยลดละความพยายามที่จะพาทุกคนออกจากคำสาป
สำหรับโคลิน·อีเลียด การค้นพบ ‘แจ็ค’ จากภายนอกนำมาซึ่งความประหลาดใจและความหวังที่เกินกว่าจะพรรณนา รวมถึงการค้นพบที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านยามบ่าย แผนการของ ‘เหล่าราชา’ และคำพยากรณ์ของนักบวช สิ่งเหล่านี้ทำให้โคลินเกิดความตื่นตัวและเปลี่ยนความคิดเดิมๆ เลิกคาดหวังว่าพระผู้สร้างจะหวนกลับมา
ด้วยการผนึกกำลังกันของสองปัจจัย รวมถึงความผิดปกติของโลเฟียร์และเดอร์ริค รวมถึงคำทำนายของวันสิ้นโลก โคลิน·อีเลียดผู้เป็นเจ้าเมืองและหัวหน้าใหญ่ของ ‘หกสภาอาวุโส’ ผู้เป็น ‘นักล่าปีศาจ’ ที่แข็งแกร่งและมากประสบการณ์ มันตัดสินใจยอมเสี่ยงเต้นรำบนคมมีด ยอมเสี่ยงติดต่อกับตัวตนลึกลับที่ซ่อนอยู่
หลังจากหายใจออกอย่างเงียบงันและเชื่องช้า โคลินเดินถอยหลัง เปล่งเสียงด้วยท่วงทำนองขึ้นลงเป็นจังหวะ
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย… ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกสีเทา… ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ… ข้าขอภาวนาถึงท่าน ข้าวิงวอนขอพลังลึกลับ วิงวอนขอความโชคดี วิงวอนขอให้วัตถุบนแท่นบูชากลายเป็นแผ่นยันต์…”
เมื่อเสียงขึ้นๆ ลงๆ เป็นจังหวะของโคลินก็แผ่วลง แท่นบูชาตรงหน้าพลันมืดสลัวด้วยบรรยากาศลุ่มลึก คล้ายกับมีความศักดิ์สิทธิ์ที่ยากจะอธิบายกำลังซึมผ่านแสงเทียนไขที่อยู่ตรงกลาง
ทันใดนั้น เปลวไฟเทียนไขพลันลุกโชนและขยายขนาด แต่กระนั้นก็มิได้ทำให้สภาพแวดล้อมสว่าง กลับกัน ทุกสิ่งรอบตัวกลับยิ่งทวีความเป็นภาพมายา เผยให้เห็นเงารางๆ ของบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวไปมาตลอดเวลา บ้างเบาบาง บ้างหนาแน่น
เหนือสุดด้านบนโลกมายาและเงาลางจำนวนนับไม่ถ้วนมีเจ็ดริ้วแสงสีสันแตกต่างกันออกไป คล้ายกับอัดแน่นด้วยองค์ความรู้มหาศาลไร้ก้นบึ้ง
และเหนือแสงอันบริสุทธิ์ทั้งเจ็ดคือทะเลหมอกสีเทากว้างไกลไร้ขอบเขต ด้านในมีพระราชวังโบราณที่กำลังจ้องมองทุกสิ่งจากมุมสูง
‘นักล่าปีศาจ’ โคลินพลันลืมเรื่องอื่นไปชั่วขณะ ทำเพียงจ้องมองภาพฉายบนแท่นบูชาอย่างตั้งใจ คล้ายสิ่งกับที่เคยมีอยู่แค่ในหนังสือและตำราโบราณ กำลังหลุดออกจากเส้นกั้นแบ่งระหว่างโลกมายาและความจริง ปรากฏกายขึ้นตรงหน้ามัน
หากมันเข้าใจไม่ผิด นี่คือภาพฉายของโลกวิญญาณ
ก่อนที่จะเกิดมหาภัยพิบัติ ก่อนที่พระผู้สร้างจะละทิ้งแผ่นดิน มนุษย์สามารถเดินทางเข้าออกโลกวิญญาณได้อย่างอิสระ!
แต่ตอนนี้ โลกวิญญาณคือสิ่งที่มีเฉพาะในตำราเรียนและคัมภีร์เก่าแก่ของเมืองเงินพิสุทธิ์ ไม่เคยมีใครสัมผัสถึงโลกวิญญาณได้!
ทันใดนั้น เสียงเสียดสี ‘เอี๊ยดอ๊าด’ เริ่มดังขึ้น พระราชวังโบราณเหนือสายหมอกสีเทาในโลกวิญญาณที่คอยเฝ้ามองทุกสิ่งจากมุมสูง กำลังเปิดประตูออกมาต้อนรับ!
ถัดมา โคลินเห็นยันต์หน้าแสงเทียนที่ยังไม่เสร็จ เริ่มเปล่งประกายด้วยแสงสีเงิน แต่ละเส้นอักขระค่อยๆ ‘สว่างขึ้น’ ทีละเส้น จากนั้นก็เปล่งแสงพร่างพราวอย่างท่วมท้น โอบกอดแผ่นเงินแท้และหนอนกาลสีใสเวลาเข้าด้วยกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ