เพราะมันมั่นใจเป็นอย่างมากว่า ร่างที่สะท้อนบนผิวเรียบของแผ่นจานทองคำนั้นไม่ใช่ตน อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตัวจริง!
ถ้าเป็นตัวไคลน์จริงๆ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซก็ต้องเห็นหมอกสีเทา เห็นภาพประหลาดที่ดูคล้ายสัตว์ในตำนานบางชนิด และนั่นจะทำให้ไคลน์หมดสติไปทันที!
เนื่องจากไม่เผชิญความผิดปรกติใดเลย จึงหมายความว่าภาพสะท้อนใน ‘กระจก’ ไม่ใช่ตัวเรา… ไคลน์เปิดเนตรด้ายวิญญาณพลางสั่งให้ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซที่ถือไม้เท้า ‘วาจาสมุทร’ เดินเข้าไปใกล้เสาสีซีดที่พังทลายและบ้านโทรม จากนั้นก็แอบปลดปล่อย ‘ความโชคดี’ อย่างเงียบๆ
หุ่นเชิดผิวคล้ำค่อยๆ เข้าใกล้แผ่นจานสีทองทีละก้าว โน้มตัวลงพร้อมกับใช้ไม้เท้าช่วยค้ำและหยิบแผ่นจานขึ้นมาตรวจสอบอย่างละเอียด
แผ่นจานดังกล่าวแบ่งออกเป็นสองชั้น ภายในและภายนอก แกนกลางเรียบราวกับกระจก ลวดลายไม่ซับซ้อน ส่วนขอบถูกสลักด้วยลวดลายคล้ายนก มอบความรู้สึกงดงามแบบโบราณ
ภาพที่สะท้อนยังคงไม่แปรเปลี่ยน แม้คนที่ส่องกระจกจะเป็นหุ่นเชิดเอ็นโซ แต่ภาพที่ปรากฏกลับเป็นไคลน์ซึ่งมีใบหน้ามืดมนและดวงตาสีซีดไร้อารมณ์ มีแม้กระทั่งคทาเทพสมุทรและมงกุฎกับชุดคลุมของสันตะปาปาที่ติดมากับไพ่ทรราช หากไม่ใช่เพราะปราศจากหมอกสีเทา ไคลน์คงคิดว่าแผ่นจานสามารถสะท้อนผ่านสายของหุ่นเชิดจนมาถึงร่างวิญญาณที่แท้จริงของตนได้ หรือไม่ก็เหมือนกับเหตุการณ์ในความฝันของซากสมรภูมิแห่งเทพที่ ‘นักบุญมืด’ ถูกแบ่งแยกบุคลิกหลังจากเผลอส่องกระจก
หมายความว่ายังไง… ร่างต้นไคลน์ค่อยๆ โผล่ออกจากเงาของอาคารอย่างไม่รีบร้อน กลับคืนสู่สภาพเดิมเหมือนกับตอนที่เพิ่งเข้ามาในเมืองกัลเดรอน จากนั้นก็ใช้พลังพิเศษของ ‘ตัวตลก’ เพื่อมองร่างกายตัวเองแบบสามมิติภายในใจ
มือข้างหนึ่งกำลังถือคทากระดูกที่เลี่ยมด้วยเพชรพลอยสีน้ำเงิน สวมเสื้อคลุมและมงกุฎสันตะปาปาที่ประดับประดาด้วยอัญมณีหลายเม็ด ใบหน้าถูกซ่อนอยู่ในเงาดำของมงกุฎจนมองเห็นได้ไม่ชัดเจน แต่อารมณ์ค่อนข้างมืดมนและเย็นชา คล้ายกับซอมบี้ที่เพิ่งถูกขุดออกจากสุสาน!
นี้มัน… ไคลน์พลันประหลาดใจ ไม่คาดหวังว่าจะเป็นตัวมันเองที่เปลี่ยนไป เช่นนั้นจึงหมายความว่า ภาพที่แผ่นจานทองคำกำลังสะท้อนให้เห็น แท้จริงแล้วคือสภาพปัจจุบันของตัวมันเอง ขาดเพียงสายหมอกสีเทา!
แต่ถ้าไม่เกี่ยวกับหมอกสีเทา ก็แปลว่าคงไม่ใช่เรื่องใหญ่… ชายหนุ่มถอนหายใจโล่งอก สงบสติอารมณ์อย่างรวดเร็ว
ตามปรกติแล้ว จากประสบการณ์อันยาวนานของไคลน์ รวมถึงความสามารถในการควบคุมสถานการณ์ มันเชื่อว่าตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องลงมือทำอะไร แต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงก็คือ ตอนนี้ตนกำลังถือ ‘คทาเทพสมุทร’ อาจทำให้การตัดสินใจหุนหันกว่าปรกติ คอยเตือนตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เรื่องที่สอง ค่อนข้างชัดเจนว่าเมืองนี้เคยเป็นอาณาจักรแห่งเทพ ต้นตระกูลฟีนิกซ์ เกรจารี และอาจมีบางสิ่งที่เตรียมไว้สำหรับคืนชีพหลงเหลืออยู่ ย่อมเป็นธรรมดาที่จะเกิดเหตุการณ์พิสดาร เลี่ยงไม่ได้ที่จะเผชิญความตึงเครียดขณะสำรวจ
หลังจากบังคับให้ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์เดินกลับมาและใช้พลังพิเศษในขอบเขตความตายเพื่อตรวจสอบร่างต้นตัวเอง ไคลน์พบข้อสันนิษฐานเบื้องต้น
สิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่เข้าสู่กัลเดรอนจะค่อยๆ ถูกเปลี่ยนให้เป็นคนตาย ลักษณะแบบนี้คล้ายกับโลกแห่งความตาย แต่ยังมีความแตกต่างอยู่บ้าง เช่นถ้าเป็นที่นี่ สิ่งมีชีวิตจะไม่ตายในทันทีและกลายเป็นอันเดดไร้สติ แต่จะค่อยๆ กลายเป็นวิญญาณคนตาย…
เราเพิ่งสังเกตเห็นเพราะเอ็นโซกับลูเธอร์ไวล์ตายไปแล้ว ไม่สามารถกลายเป็นคนตายได้อีกรอบ… สาเหตุที่ทั้ง ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสและ ‘แสงแดง’ ไอร์·โมเรียต่างไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ เป็นเพราะเหล่านักท่องเที่ยว เทวทูต และ สัตว์วิญญาณที่เคยเข้ามาและมีชีวิตรอดกลับไป ล้วนแล้วแต่กลับสู่สภาวะปรกติได้ตามธรรมชาติ? การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้จะไม่ส่งผลต่ออิทธิพลของสายหมอกสีเทาที่แทรกแซงโลกความเป็นจริง… ถ้าอย่างนั้น ภาพที่แผ่นจานทองคำสะท้อนให้เห็น คือตัวเราในสภาพคนตาย ไม่ใช่สภาพในปัจจุบัน หรือเป็นตัวเราในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปเพราะกัลเดรอน? ไคลน์เอนเอียงไปทางข้อหลังมากกว่า แต่ก็ไม่มีหลักฐานรองรับ
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งดังขึ้นใกล้ๆ
แคร้ง!
แคร้ง! แคร้ง!
น้ำเสียงทั้งหนักแน่นและชัดเจน ประหนึ่งมีคนทุบโลหะ
ไคลน์ไม่รีบตอบสนอง คอยฟังอย่างระมัดระวังเป็นเวลาสองสามวินาที จากนั้นก็บังคับให้ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซวางแผ่นจานทองคำอันหนักอึ้งลง เดินไปยังซากหลุมศพที่อยู่ไม่ไกล
ครึ่งหนึ่งของหลุมฝังศพเป็นอาคารใต้ดิน ด้านบนมีภาษาแห่งความตายเขียนไว้ว่า:
“…ผู้ชายใจร้อน ตายเพราะนำศีรษะของตัวเองไปปะทะกับค้อนของผู้อื่นเพื่อพิสูจน์ความแข็ง”
‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซเดินไปรอบๆ ซากหลุมศพ มาถึงประตูทางเข้าอาคารที่ดูคล้ายสุสาน เหยียดแขนซ้ายออกไปหมุนที่จับและดึงประตูออกสุดแรง
ท่ามกลางเสียงสนิม ประตูบานใหญ่ค่อยๆ เปิดอ้า
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ลูกศรสีซีดพุ่งออกมา!
พวกมันถากผ่านใบหน้า ศีรษะ ลำตัว ต้นขาด้านในของเอ็นโซและลอยออกไปไกลจนกระทั่งหัวปักพื้นโดยที่ ‘ผู้ชนะ’ ไม่ได้รับบาดเจ็บ
ต้องยอมรับว่า หุ่นเชิดประเภทนี้เกิดมาเพื่อสำรวจสถานที่อันตราย… ไคลน์ถอนหายใจอย่างโล่งอกสุดขีด บังคับให้เอ็นโซมองไปยังอาคารด้านล่าง
มันพบช่างตีเหล็กคนหนึ่ง เป็นยักษ์ผิวดำที่มีกะโหลกศีรษะแตกในลักษณะคล้ายกับแตงโมถูกทุบ มือข้างหนึ่งกำลังใช้ค้อนยักษ์ทุบใส่ทั่ง แต่บนทั่งไม่มีอะไรวางอยู่
เมื่อเห็นว่ายักษ์กะโหลากศีรษะแตกยังคงมี ‘ด้ายวิญญาณ’ ตามปรกติ ยืนยันว่าไม่ใช่อวตารวิญญาณของใคร ไคลน์ถอนหายใจอีกครั้งด้วยความผ่อนคลาย
ขณะเตรียมให้เอ็นโซสังเกตต่อ ร่างกายของมันพลันเกิดอาการชากะทันหัน ความคิดค่อยๆ เชื่องช้าลง
สำหรับความรู้สึกนี้ มันเคยเผชิญมาก่อน สมัยที่ได้รับอิทธิพลจากสมบัติปิดผนึก ‘2-049’ ในเมืองทิงเก็น นับว่าเป็นภาวะที่คล้ายคลึงกันมาก!
ไคลน์ในอดีตยังขาดประสบการณ์ เพิ่งทราบหลังจากได้เป็น ‘นักเชิดหุ่น’ ว่าอาการแบบนี้หมายถึง ‘ด้ายวิญญาณ’ ของตนกำลังถูกควบคุมโดยสมบัติปิดผนึก!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตอนนี้มันกำลังถูกใครบางคนเข้าควบคุมด้ายวิญญาณ!
นอกจากนั้น สิ่งที่แตกต่างไปจากปรกติก็คือ ร่างกายของมันไม่เพียงจะ ‘ขึ้นสนิม’ ในข้อต่อประหนึ่งถูกใครบางคนหยอดกาว แต่ยังเกิดความรู้สึกคล้ายกับเป็นอัมพาตจากการถูกฟ้าผ่า การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างยากลำบากมาก
ท่าไม่ดีแล้ว… หัวขโมยโลกวิญญาณ… เรามัวแต่ระแวง… ว่าอีกฝ่ายจะใช้อวตารวิญญาณ… ดึงความสนใจ… เพื่อแอบเข้ามาใกล้… แต่เราไม่ทันระวัง… ผู้สมรู้ร่วมคิด… ของมัน… ยักษ์… ช่างตีเหล็ก… ทำให้เรา… ประมาท… และเรา… พึ่งพาหุ่นเชิด… มากเกินไป… จนทำให้… ละเลย… ความปลอดภัย… ของร่างต้น… ความคิดมากมายพรั่งพรูเข้ามาในสมองไคลน์อย่างมิอาจควบคุม คล้ายกับพยายามบดบังความคิดที่จะเอาตัวรอด
ทันใดนั้น ช่างตีเหล็กยักษ์ที่กะโหลกศีรษะแตกยกค้อนขนาดมหึมาขึ้น ปรี่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วประหนึ่งหวังจะทุบหุ่นเชิดเอ็นโซให้เป็นซอสเนื้อ ในเวลาเดียวกัน บริเวณลำคอของไคลน์รู้สึกคล้ายกับมีลมหนาวพัดผ่าน ส่งผลให้รู้สึกเย็นเยียบไปทั้งร่าง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ