ตอน ราชันเร้นลับ 969 : ดยุค จาก ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
ราชันเร้นลับ 969 : ดยุค คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายInternet ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
เอ็มลิน·ที่ถูกเรียกเข้าพบ ถอดหมวกออก ถอดเสื้อนอก เดินเข้าไปในห้องรับแขกและรอ
ภายในห้อง หากไม่นับมัน ยังมีผีดูดเลือดอื่นๆ ที่ถูกคนใหญ่คนโตเรียกเข้าพบ เอ็มลินมองไปรอบตัวพร้อมกับหาที่นั่ง ด้านข้างเป็นชายดั้งจมูกโด่งจนเกือบจะผิดธรรมชาติ
ชายคนดังกล่าวมีผมสีน้ำตาล ตาสีแดง ใบหน้ามีริ้วรอยร่องลึก ในมือถืออัลบัมภาพ สายตาจ้องมองหน้ากระดาษอย่างเลื่อนลอย
มันคือผีดูดเลือดที่ให้ข้อมูลของปราสาทร้างในป่าเดแลร์กับเอ็มลิน มีนามว่าเออร์เนส·โบยาร์ เป็นไวเคาต์ผีดูดเลือด
เอ็มลินวางแผนจะแวะไปหาไวเคาต์รายนี้อยู่แล้ว คาดไม่ถึงว่าจะพบกันที่นี่ จึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจโพล่งถาม
“ท่านไวเคาต์ ข้าขอทราบได้ไหม ท่านได้รับข้อมูลปราสาทร้างในป่าเดแลร์มาจากที่ใด?”
“ทำไมหรือ? ลูกค้าของเจ้าไม่พบวิญญาณอาฆาตโบราณหรือไง?” เออร์เนส·โบยาร์ละสายตาจากอัลบัมภาพ ชำเลืองมาทางเอ็มลิน
“เปล่า… ไม่ใช่แบบนั้น” เอ็มลินมิได้อธิบาย แต่ยังคงพยายามถามซักไซ้ “ข้าแค่อยากทราบที่มาของข้อมูล ดูเหมือนปราสาทหลังนั้นจะไม่ธรรมดา”
เออร์เนส·โบยาร์ปิดอัลบัมภาพ สางผมเล็กน้อยก่อนจะตอบ
“ก็ไม่ใช่ความลับอะไร ข้าได้ทราบมาจากลอร์ดนีบาส ว่ากันตามตรง คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะมีปราสาทเก่าแก่เช่นนั้นตั้งอยู่ภายในป่าเดแลร์”
ลอร์ดนีบาส… เอ็มลินเริ่มผุดความคิดบางอย่าง
อีกหนึ่งบททดสอบสินะ…
แต่ไม่ใช่ว่ามันอันตรายเกินไปหรอกหรือ? หากไม่มีมิสเตอร์ฟูลคงได้เกิดเรื่องใหญ่แน่… เอ็มลินขมวดคิ้ว นึกทบทวนรายละเอียดที่ไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า ถามกลับไปด้วยความสงสัย
“ท่านไวเคาต์ แล้วทำไมท่านถึงไม่สำรวจปราสาทด้วยตัวเอง? ข้าจำได้ว่าท่านเป็นนักโบราณคดี แถมยังมีโอกาสรวบรวมวัตถุดิบวิเศษของวิญญาณอาฆาตโบราณ”
เออร์เนสชำเลืองเอ็มลินด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ลอร์ดนีบาสบอกกับข้าว่า ที่นั่นอันตรายมาก หากยังไม่ถึงระดับเอิร์ลก็ไม่ควรเข้าไปใกล้”
“…” เอ็มลินอ้าปากค้างครึ่งหนึ่ง สีหน้าล่องลอย
มันข่มความโกรธเอาไว้ หรี่เสียงให้เบาและกล่าว
“แล้วทำไมท่านถึงไม่เตือนข้า?”
เออร์เนสหัวเราะ
“ก็แน่อยู่แล้วไม่ใช่หรือ? สถานที่ซึ่งมีวัตถุดิบวิเศษให้เก็บเกี่ยว แถมยังรู้กันทั่วไปในหมู่ผีดูดเลือด… การที่สิ่งนั้นยังดำรงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน หมายความว่ามันต้องมีความพิเศษในตัวเอง”
เมื่อเห็นเอ็มลินทำสีหน้าฉงน มันเล่าเสริม
“และความพิเศษที่ว่า ตามปรกติแล้วควรสรุปได้เช่นนี้: ภายในป่าเดแลร์มีวิญญาณอาฆาตโบราณอาศัยอยู่จริง มีคนเคยเห็น เคยเผชิญหน้า แต่ยากจะล่าให้สำเร็จ… หมายความว่า การตามล่าวิญญาณอาฆาตโบราณไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีต้นทุนด้านเวลาและความยุ่งยากเกินกว่ามูลค่าของวัตถุดิบ ส่งผลให้พวกมันมีชีวิตอยู่มาจนถึงปัจจุบัน… ข้าคิดว่าอย่างเจ้าคงมองเห็นสิ่งนี้ได้ไม่ยาก รวมถึงลูกค้าของเจ้าด้วย หากเลือกที่จะลงมือสำรวจ หมายความว่ามีการเตรียมพร้อมมาอย่างดีแล้ว”
ในวินาทีแรก เอ็มลินมองว่าคำพูดของไวเคาต์เออร์เนสฟังดูสมเหตุสมผล มิอาจจะหักล้างตรรกะ ขณะเดียวกันก็คิดว่าตนและมิสเมจิกเชี่ยนเบาปัญญาอย่างมาก จึงนำพาตัวเองไปเสี่ยงอันตราย ไม่สามารถกล่าวโทษผู้ให้ข้อมูลได้
ในวินาทีที่สอง เอ็มลินรู้สึกหงุดหงิดและกระอักกระอ่วน เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองต่อตัวเอง
วินาทีที่สาม เอ็มลินมองเห็นปัญหาใหม่
ไม่สำคัญว่าความโง่ของพวกตนจะนำพาไปสู่อันตรายหรือไม่ แต่ไม่ว่ายังไงเออร์เนส·โบยาร์ก็ต้องแจ้งเรื่องนี้ให้ทราบอย่างชัดเจน เพราะการประเมินระดับของอันตราย รวมถึงต้นตอของอันตราย จะช่วยให้ภารกิจสำรวจเตรียมตัวได้ง่ายขึ้น ไม่เกิดความผิดพลาด
เจ้านี่จงใจ! เอ็มลินฟันธงในหัว ดวงตาสีแดงหรี่ลงเล็กน้อย เชิดคางและกล่าว
“แน่นอน ใครๆ ก็มองเห็นได้ไม่ยาก แต่ข้าอยากทราบว่า อันตรายที่ซ่อนอยู่ในปราสาทร้างหลังนั้นคือสิ่งใดกันแน่”
เออร์เนสหยิบชาดำที่มีสีเหมือนเลือดข้างๆ ขึ้นมาจิบและกล่าว
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ ลอร์ดนีบาสมิได้เล่าให้ฟัง”
สีหน้าของเอ็มลินเริ่มดำมืด ขณะเตรียมกล่าวประชดประชัน มันเห็นคาซีมี·โอดราเดินเข้ามาในห้องรับแขกและมองมาทางตน
“เอ็มลิน คนใหญ่คนโตเรียกเจ้าเข้าไปพบ”
“ตกลง” เอ็มลินข่มโทสะ กดส่วนล่างของเสือนอก ลุกขึ้นยืนอย่างไม่รีบ
หลังจากเดินลงบันไดไปยังเขตห้องใต้ดิน ในที่สุดมันก็อดใจไม่ไหว ถามเสียงต่ำ
“บารอนคาซีมี อีกฝ่ายเป็นใครกัน? ข้าควรเรียกท่านว่าอย่างไร”
คาซีมีที่ดูคล้ายสุภาพบุรุษวัยกลางคน ตัดสินใจไม่ปิดบัง ตอบด้วยน้ำเสียงเจือความเคารพ
“ท่านดยุคโอลเมอร์”
ท่านดยุคโอลเมอร์… เอ็มลินเหยียดตัวตรงจากจิตใต้สำนึก ชำเลืองสายตาไปยังขาตั้งโคมไฟผนังด้านข้าง คล้ายกับต้องการอาศัยภาพสะท้อนจากผิวโลหะ
อีกฝ่ายคือหนึ่งในสามดยุคที่คอยค้ำจุนผีดูดเลือดมานาน เป็นขุมพลังสำคัญที่ดำรงตนมาตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์มหาภัยพิบัติ มีสมญานามว่า ‘จันทร์เต็มดวง’ อายุกว่าสามพันปี ครั้งหนึ่งเคยติดตามรับใช้ต้นตระกูลลิลิธ!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ดยุคโอลเมอร์เปรียบดังประวัติศาสตร์และความรุ่งโรจน์ของผีดูดเลือด!
เดินผ่านประตูลับหลายชั้น เอ็มลินและคาซีมีมาถึงห้องโถงสีเทาที่มีกลิ่นอายของเหล็ก
พื้นและผนังถูกปูด้วยหญ้า ดอกไม้ และธัญพืช แมลงหลากชนิดกำลังคลานไปมาท่ามกลางกลุ่มต้นไม้ที่เรียงชิดติดกัน ส่งผลให้เอ็มลินรู้สึกราวกับออกจากเมืองมายังชนบทสักแห่ง สัมผัสถึงชีวิตและธรรมชาติ
โรงเรียนกุหลาบ? พวกมันเป็นอริกับผีดูดเลือดด้วยหรือ? นั่นสินะ ดูเหมือนว่าจะมีบางส่วนของพวกมันที่นับถือดวงจันทร์บรรพกาล… เอ็มลินซึมซับข้อมูลของโรงเรียนกุหลาบมาจากชุมนุมทาโรต์ไม่น้อย แต่จงใจปกปิดเอาไว้
“นอกจากจะรับสาวกดวงจันทร์บรรพกาลเข้าเป็นพวก โรงเรียนกุหลาบยังครอบครองวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลผีดูดเลือดเรา เป็นมรดกจากบรรพบุรุษ พวกเราต้องทวงคืนมาให้ได้” น้ำเสียงโอลเมอร์ทวีความขึงขัง
มรดกของบรรพบุรุษ… วัตถุศักดิ์สิทธิ์ของผีดูดเลือด… เอ็มลินตอบโดยไม่ลังเล
“ท่านดยุคที่เคารพ ข้าจะตามหาสมาชิกคนสำคัญของโรงเรียนกุหลาบที่ซ่อนตัวอยู่ในเบ็คลันด์ให้พบ”
น้ำเสียงของโอลเมอร์กลับไปเป็นอ่อนโยนอีกครั้ง
“ดีมาก… รอฟังข้อมูลจากคาซีมีและหาจุดเริ่มด้วยตัวเอง”
เอ็มลินคิดจะทำโดยไม่ลังเลอยู่แล้ว แต่ฝืนสงวนท่าทีเล็กน้อย เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างตั้งใจ
“ท่านดยุคที่เคารพ ท่านรู้จักปราสาทร้างกลางป่าเดแลร์หรือไม่?”
“อยากไปหรือ? ที่นั่นอันตรายนะ” โอลเมอร์ในหลุมศพตอบ
เอ็มลินมิได้อธิบาย แต่ถามเข้าประเด็น
“อันตรายแบบใด?”
โอลเมอร์หัวเราะในลำคอพลางตอบ
“ปราสาทหลังนั้นอาจเก่าแก่กว่าข้าเสียอีก… หรืออาจมีอายุมากกว่าป่าเดแลร์… ข้าไม่ทราบว่าใครเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา แต่ค่อนข้างแน่ชัดว่าจุดประสงค์คือการผนึกบางสิ่งที่อยู่ใต้ดิน เก็บซ่อนความลับอันยิ่งใหญ่… สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่เข้าไปใกล้จะถูกกัดกร่อนจนถึงแก่ชีวิต เดิมที เราคิดว่าที่นั่นอาจเกี่ยวข้องกับนรก จึงลองโยนปีศาจเข้าไป ทว่า แม้แต่ปีศาจก็ถูกกัดกร่อน จากสิ่งมีชีวิตเย็นชาและป่าเถื่อนกลายเป็นตัวตนที่บ้าคลั่ง”
แล้วทำไมท่านถึงไม่ลองเปิดประตูเข้าไปสำรวจ? เอ็มลินได้แต่บ่นในใจ มิได้กล่าวออกไป
ดยุคโอลเมอร์แห่งผีดูดเลือดเจ้าของฉายา ‘จันทร์เต็มดวง’ มิได้กล่าวสิ่งใดต่อ จบการสนทนาและบอกให้เอ็มลินออกจากห้าง
…
ในช่วงค่ำ กรุงเบ็คลันด์ที่ถูกปกคลุมด้วยเมฆมืด มีฝนตกโปรยปราย
เอ็มลินสวมหมวกขอบโค้ง เดินลงจากระเบียบกันสาด ดวงตาสีแดงจดจ้องไปยังไวเคาต์เออร์เนส·โบยาร์ที่กำลังเดินชมร้านขายของเก่า
มันโกรธอีกฝ่ายที่จงใจบอกข้อมูลไม่ครบ หลังจากออกจากคฤหาสน์โอดราจึงแอบสะกดรอยตามโดยไม่รู้ตัว
แต่พอเดินไปได้สักพัก มันเริ่มเกิดความสับสน เพราะไม่ทราบว่าตนควรจัดการกับเออร์เนสอย่างไร และต้องสะกดรอยไปอีกนานแค่ไหน
…………………………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ