ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 170

ตอนที่ 170 มีหวังกลับมามีอำนาจ

อนุหร่วนมองดูแผ่นหลังของเขาที่ก้าวจากไปอย่างทึมทื่อ นางเคยได้รับบทเรียนจากวิธีการอันโหดเหี้ยมของทายาทคนโตตระกูลเซ่าผู้นี้มาแล้ว บ้านฝั่งมารดาที่นางให้การสนับสนุนล้วนตายจนหมดสิ้น กวาดล้างกำลังสนับสนุนจากภายนอกของพวกนางแม่ลูกจนหมด

สองชีวิตที่เอ่ยมาหมายถึงใคร สันหลังของนางเย็นวาบขึ้นมา

พอเซ่าผิงปอจากไป สองพี่น้องเซ่าอู๋ปอและเซ่าฝูปอก็เข้ามาทันที พวกเขารอให้เซ่าผิงปอไปแล้วถึงค่อยเข้ามา

เมื่อเห็นมารดามีท่าทางผิดปกติ เซ่าอู๋ปอจึงเอ่ยถาม “ท่านแม่ เป็นอะไรไปขอรับ?”

อนุหร่วนคล้ายอยากร่ำไห้ออกมา “คิดหาทางสลายชุมนุมกวีนั่นซะ หาได้รอดพ้นสายตาของเขาไม่ เขามองออกแล้ว”

เซ่าฝูปอถาม “เขาว่าอย่างไรขอรับ?”

อนุหร่วนสะอื้นไห้น้ำตาไหล ส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “เป็นเพราะพวกเจ้ามันไม่ได้เรื่อง บู๊ไม่เชี่ยวชาญบุ๋นไม่แตกฉาน ไม่อย่างนั้นเขาจะกล้าข่มขู่ข้าเช่นนี้เรอะ! ล้มเลิกซะ แค่คิดถึงเรื่องที่ตระกูลท่านยายเจ้าต้องเจอข้าก็กลัวแทบตายแล้ว!” กล่าวจบก็ฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะ ร่ำไห้น้ำตานองหน้า สะอึกสะอื้นด้วยความเสียใจจนสองไหล่สั่นไหว

เห็นมารดาร่ำไห้ด้วยความเสียใจเช่นนี้ ผู้เป็นบุตรก็สุดจะทนรับไหว

ได้ฟังว่าเขามาข่มขู่มารดาตน ซ้ำยังเห็นมารดาร่ำไห้เช่นนี้ เซ่าฝูปอในชุดเกราะพลันฉุนขาดขึ้นมา เอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยว “ไอ้สารเลว ข้าจะลากเขาไปคุยกันให้รู้เรื่องต่อหน้าท่านพ่อ!”

“กลับมา!” เซ่าอู๋ปอดึงเขาเอาไว้ “ในเมื่อเขาพูดเรื่องชุมนุมกวีออกมา แสดงว่าเขาจะต้องมีความมั่นใจอย่างแน่นอน ต่อให้ไปเถียงกันต่อหน้าท่านพ่อ เจ้านั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ!”

เซ่าฝูปอชี้ไปทางมารดาที่ร่ำไห้อยู่ สื่อว่าแล้วจะปล่อยให้อีกฝ่ายมาข่มขู่มารดาเช่นนี้หรือ? แต่พอคิดๆ ดูแล้วก็พบตนไม่มีปัญญาทำอะไรอีกฝ่ายได้จริงๆ ได้แต่กระทืบเท้าเต็มแรง สีหน้าฉุนเฉียว ทิ้งตัวนั่งลงด้านข้าง เบือนหน้าหนีไปด้วยความโกรธเกรี้ยว

…..

บ้านตระกูลซ่ง ณ เมืองหลวงแคว้นเยี่ยน ทั่วทั้งเรือนตกอยู่ในบรรยากาศกดดันที่บอกไม่ถูก

อิทธิพลที่ก่อตัวขึ้นจากอำนาจ ทันทีที่สูญเสียอำนาจไป อิทธิพลก็พังทลายลงทันที

นับตั้งแต่ที่หวังเหิงพาบุตรีจากไป รูปการณ์บางอย่างทำให้ตระกูลซ่งรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมา ประตูเรือนที่ในอดีตเคยถูกเหยียบย่ำจนธรณีประตูแทบสึก ยามนี้กลับไม่มีผู้ใดไปมาหาสู่อีกแล้ว

แม้แต่ฝ่าซือที่ปกติคอยทำหน้าที่คุ้มกันตระกูลซ่ง ก็ถูกทางสำนักเรียกตัวกลับไปทีละคนๆ โชคดีว่าที่นี่คือเมืองหลวง โชคดีที่เจ้ากรมโยธาถงมั่วไม่ได้ทำเรื่องที่น่าหดหู่อันใด ตอนนี้จึงไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องถึงบ้าน

และเป็นเพราะว่ายังมีถงมั่วอยู่ ซ่งเฉวียนจึงยังคงรั้งตำแหน่งเดิมในศาลาว่าการได้ แต่เขาก็ทราบถึงสถานการณ์ของตัวเองดี ท่าทีของเพื่อนร่วมงานรอบข้างทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่น ทั้งถากถางเยาะหยันสารพัด ทราบดีว่าไม่ช้าก็เร็วจะต้องถูกถีบหัวส่งเป็นแน่

หลังเลิกงาน ซ่งเฉวียนกลับบ้านมาอย่างห่อเหี่ยว ระหว่างทางที่จะแวะไปคารวะบิดา บังเอิญพบคนรับใช้ได้นำทางคนผู้หนึ่งเดินมาพร้อมกัน

หากเป็นเวลาปกติ ซ่งเฉวียนไม่แน่ว่าจะจดจำคนผู้นี้เอาไว้ในใจ แต่ยามนี้เขาจดจำคนผู้นี้เอาไว้แล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรเพียงหนึ่งเดียวที่ยังไม่ไปจากตระกูลซ่ง เฉินกุยซั่ว!

เขายังเป็นฝ่ายยิ้มแย้มพร้อมเอ่ยทักทายเฉินกุยซั่วก่อนด้วย

ภายในโถงหลักของเรือนชั้นใน ซ่งจิ่วหมิงนั่งตัวตรง ซ่งซูและหลิวลู่ยืนขนาบสองข้าง

ทั้งสองคนที่เดินเข้ามาย่อมต้องทำความเคารพตามปกติ ซ่งจิ่วหมิงที่ไม่ใคร่ยิ้มแย้มนักกลับยิ้มให้เฉินกุยซั่วอย่างที่เห็นได้ยากในเวลาปกติ ถอนหายใจพลางกล่าวว่า “ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป ฝ่าซือในตระกูลซ่งเหลือเจ้าเพียงคนเดียวที่ยังอยู่ เห็นน้ำใจคนได้ในยามยาก! ไม่คิดเลยว่าตอนที่เหยี่ยนชิงยังอยู่จะได้พบพานมิตรแท้ที่จริงใจคนหนึ่ง ช่วงนี้ขาดแคลนกำลังคน ต้องลำบากเจ้าแล้ว”

ในใจเฉินกุยซั่วไร้คำพูด เขาเองก็อยากจากไปเช่นกัน ผู้ใดจะเต็มใจอยู่ที่นี่เพื่อเผชิญปัญหาพวกนี้กันเล่า แต่เขาไม่มีทางเลือก เขาถูกหนิวโหย่วเต้าบีบบังคับ หากหนิวโหย่วเต้าไม่อนุญาต เขาก็ไปไหนไม่ได้

แต่ที่โชคดีคือหนิวโหย่วเต้าได้จัดการหาทางรอดให้เขาแล้ว หลังเสร็จเรื่องทางนี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีที่ให้ไป หาไม่แล้วหากหนีไปเช่นนี้ล่ะก็ เขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าสมควรจะไปที่ใด สำนักสวรรค์พิสุทธิ์เองก็ยังจะมาสังหารเขาอีก

“นายท่านกล่าวหนักเกินไปแล้วขอรับ สมัยที่ศิษย์พี่ยังมีชีวิตอยู่ เขาปฏิบัติต่อข้าเป็นอย่างดี เกิดเป็นคนไม่ควรลืมบุญคุณ อาจารย์อาอยู่ที่ไหน ข้าก็จะอยู่ที่นั่นขอรับ” เฉินกุยซั่วมองซ่งซูแล้วเอ่ยออกมา

ซ่งซูยิ้มขึ้นมา สีหน้าพึงพอใจ ท่าทางคล้ายว่ามองคนไม่ผิดจริงๆ

ซ่งจิ่วหมิงพยักหน้า เผยสีหน้าชื่นชม ในใจนึกทอดถอนใจเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน รู้สึกว่าได้เห็นน้ำใจคนในยามยากโดยแท้ บนโลกนี้ คนเช่นนี้มีอยู่ไม่มากจริงๆ!

เขาโบกมือไปทางหลิวลู่

หลิวลู่หยิบตั๋วแลกทองหนึ่งแสนเหรียญทองออกมา เดินเข้ามายัดใส่มือเขา

เมื่อเห็นเงินมากมายแบบที่ไม่เคยได้รับมาก่อนเช่นนี้ ภายในใจเฉินกุยซั่วรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้รับทรัพย์ก้อนโตเช่นนี้ รากฐานของตระกูลซ่งมั่งคั่งเป็นอย่างมากจริงๆ! เขารีบแสร้งทำเป็นบ่ายเบี่ยง “ยังไม่มีผลงานไม่กล้ารับรางวัลขอรับ” ต้องการยัดคืนให้หลิวลู่

ซ่งซูเอ็ดใส่ “มัวยึกยักอะไร ให้เจ้าก็รับไว้ซะ นี่คือสิ่งที่เจ้าสมควรได้”

เมื่อเห็นเช่นนี้ เฉินกุยซั่วจึงทำได้เพียงประสานมือเอ่ยขอบคุณ

ซ่งจิ่วหมิงเอ่ยว่า “นับจากวันนี้ไป เจ้ามิใช่คนนอกแล้ว เป็นคนในครอบครัวของตระกูลซ่งเรา ขอเพียงข้าสามารถกลับมามีอำนาจได้ ข้าไม่มีทางเอาเปรียบเจ้าแน่นอน!”

ขณะที่เอ่ยมาถึงตรงนี้ ด้านนอกก็มีคนรับใช้ปรากฏตัวขึ้นตรงประตู ถือจดหมายฉบับหนึ่งมา

หลิวลู่ออกไปรับ หลังรับจดหมายมาแล้วก็สอบถามเล็กน้อย ก่อนจะเปิดจดหมายออกอ่าน จากนั้นเดินกลับเข้ามาอย่างรวดเร็ว รายงานว่า “นายท่าน คนของมณฑลเป่ยโจวที่อยู่ในเมืองหลวงส่งจดหมายมาขอรับ”

ทุกคนที่อยู่ในห้องแปลกใจ ซ่งจิ่วหมิงขมวดคิ้ว “เซ่าเติงอวิ๋นส่งจดหมายหาข้าอย่างนั้นหรือ?”

หลิวลู่ตอบว่า “ไม่ได้บอกว่าเป็นผู้ใด นายท่านเชิญอ่านดูเถิดขอรับ” เขายื่นจดหมายให้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า