อ่านสรุป ตอนที่ 172 ผู้ที่ผ่านทางมาในพายุหิมะ จาก ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดย Internet
บทที่ ตอนที่ 172 ผู้ที่ผ่านทางมาในพายุหิมะ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
ตอนที่ 172 ผู้ที่ผ่านทางมาในพายุหิมะ
ทันทีที่เข้าไปในโรงเตี๊ยม ร่างกายก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นที่แตกต่างจากความหนาวเหน็บด้านนอกอย่างสิ้นเชิง ภายในโรงเตี๊ยมมีการจัดวางกระถางไฟเอาไว้
เดิมทีหัวหน้าจุดพักม้าคร้านจะสนใจ แต่เมื่อเห็นว่าทุกคนที่เดินเข้ามาต่างถืออาวุธเอาไว้ ท่าทีก็เปลี่ยนไปทันที รีบเข้ามาต้อนรับอย่างกระตือรือร้นในทันใด เอ่ยถามว่าต้องการแวะพักหรือว่าค้างคืน
หลังออกจากอำเภอจิ่วหลิ่งก็มิได้หยุดพัก ตรากตรำเดินทางข้ามวันข้ามคืน เวลานี้เจอพายุหิมะที่ตกหนัก อีกทั้งพวกเขาเองก็อยากจะพักผ่อนเสียหน่อย จึงขอเช่าห้องสองสามห้องเพื่อนอนพักค้างคืน
กลับเป็นพวกต้วนหู่ที่ไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดเต้าเหยี่ยและเฮยหมู่ตานถึงพักกันคนละห้อง ในเมื่อมีสัมพันธ์กันเช่นนั้นแล้ว พักด้วยกันเสียก็จบ
หลังจัดการห้องหับเรียบร้อยแล้ว ทั้งห้าคนก็มารวมตัวกันที่ห้องโถงอีกครั้ง สั่งสุราอาหารและน้ำแกง กินอะไรร้อนๆ กันเสียหน่อย เพราะทนหนาวมาตลอดทางแล้ว
มาตรว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรกันทั้งหมด แต่ยังคงมีร่างกายที่มีเลือดเนื้ออยู่ จึงยังไม่อาจตัดความอยากในอาหารไปได้
สุราอาหารทยอยขึ้นโต๊ะ ทั้งห้าคนล้อมวงรอบโต๊ะ ค่อยๆ กินกันไป พูดคุยหัวเราะกันไป
เมื่อมาถึงตอนนี้ พวกเฮยหมู่ตานเรียกได้ว่าก้าวพ้นออกมาจากเงามืดของการเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักแล้ว มาตรว่าจะยังเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักอยู่ แต่ก็มิได้รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจอันใดแล้ว ทัศนคติเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
มีคำกล่าวไว้ว่าที่ใดทำให้ใจสงบ ที่นั่นย่อมคือบ้าน การติดตามอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้าทำให้ทั้งสี่คนรู้สึกสบายใจได้อย่างแท้จริง
เหลยจงคังเองก็ร่วมวงพูดคุยกับทุกคนบ้างเป็นระยะ หัวเราะพูดคุยไปกับทุกคน แต่เขายังคงคอยมองดูสีหน้าของหนิวโหย่วเต้าอยู่เป็นครั้งคราว
แม้นจนถึงตอนนี้หนิวโหย่วเต้าจะยังมิได้เอ่ยปากรับตัวเขาไว้ แต่ก็มิได้ไล่เขาไปเช่นเดียวกัน พออยู่กันไปนานเข้า เขาเองก็ค่อยๆ รู้สึกคุ้นเคยกับหนิวโหย่วเต้าขึ้นมา
และเขาเองก็ได้ทราบเรื่องเรื่องหนึ่งมา นั่นคือสัญญาขายตัวของพวกเฮยหมู่ตานไม่ได้อยู่กับหนิวโหย่วเต้า หากแต่มอบให้พวกเฮยหมู่ตานเก็บเอาไว้เอง
ส่วนพวกเฮยหมู่ตานเองก็ไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจนแล้วจนรอดเต้าเหยี่ยก็ยังไม่ยอมออกปากรับเหลยจงคัง เดินทางมาด้วยกันขนาดนี้แล้ว นี่มันก็เท่ากับเป็นการแสดงออกว่ายอมรับแล้วมิใช่หรือ?
ซึ่งในความเป็นจริงต้วนหู่และอู๋ซานเหลี่ยงเคยโน้มน้าวให้เฮยหมู่ตานไปขอร้องหนิวโหย่วเต้าแล้ว ทว่าหนิวโหย่วเต้าไม่ได้ยอมรับหรือว่าปฏิเสธอันใด สุดท้ายก็คือไม่ยอมเอ่ยปากยอมรับ!
ความรู้สึกนี้มักจะทำให้คนอื่นๆ รู้สึกกังวลใจแทนเหลยจงคัง แต่ทั้งสามก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเช่นกัน ตอนนี้จึงได้แต่ให้เหลยจงคังอยู่ไปแบบนี้
ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าม้าดังแว่วมา ไม่นานนัก ม่านประตูแหวกเปิดออก คนที่เดินเข้ามาเป็นชายสามหญิงหนึ่ง ทั้งสี่คนดูกระฉับกระเฉงมีพลัง แค่มองดูก็รู้ว่ามิใช่คนธรรมดา ทุกคนล้วนมีอาวุธติดตัวมาด้วย ทำให้พวกหนิวโหย่วเต้าพากันเหลือบมองดู
บุรุษวัยกลางคนสองคนยืนอยู่ด้านหลัง สตรีวัยกลางคนนางหนึ่งยืนเป็นเพื่อนเด็กหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งอยู่ด้านหน้า ช่วยถอดเสื้อคลุมขนสัตว์ให้แก่เด็กหนุ่ม เพียงมองดูก็รู้แล้วว่าเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นผู้นำของกลุ่ม
ความเย่อหยิ่งในสีหน้าแววตาของเด็กหนุ่มมิอาจปกปิดซ่อนเร้นเอาไว้ได้ ยืดอกเชิดหน้า ทรวงอกค่อนข้างใหญ่ สายตาของพวกหนิวโหย่วเต้ามองไปยังใบหน้าของเขาทันที ดวงตากลมโต สุกใสดุจดวงดารา ริมฝีปากแดงเรื่ออวบอิ่มดูมีเอกลักษณ์ ผิวพรรณขาวผ่องดั่งกระเบื้องเคลือบ บนติ่งหูมีรอยเจาะ
พวกหนิวโหย่วเต้ามองหน้ากัน มาตรว่าอีกฝ่ายจะแต่งกายเป็นบุรุษ แต่กระทั่งคนตาบอดก็ยังมองออกว่าเป็นสตรีนางหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังเหมือนว่าจะเป็นสาวงามเสียด้วย เห็นแล้วรู้สึกหมดคำพูด แต่งตัวได้ไม่แนบเนียนขนาดนี้แล้วยังมีหน้ามาวางท่าหยิงยโสอีกหรือ?
“น่าสนใจ…” หนิวโหย่วเต้าพึมพำ
ผู้มาเยือนทำการจองห้องพักของจุดพักม้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นครู่หนึ่งก็กลับมาปรากฏตัวอยู่ในห้องโถงเช่นเดียวกัน ทำแบบเดียวกับพวกหนิวโหย่วเต้า สั่งอาหารร้อนๆ มาดื่มกิน
หนิวโหย่วเต้าถือตะเกียบเคาะชามเบาๆ เอ่ยว่า “ไร้รสชาติ ข้าอยากกินหมูตุ๋นน้ำแดง!”
พวกเฮยหมู่ตานสบตากันแวบหนึ่ง เกิดเรื่องวุ่นวายขนาดนั้นแล้ว ยังจะกล้าทำหมูตุ๋นน้ำแดงอีกหรือ?
แต่ละคนหันกลับไปมองดูคนสี่คนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทางด้านนั้น รู้สึกได้รางๆ ว่าหนิวโหย่วเต้าน่าจะมีจุดประสงค์อะไรบางอย่าง
เหลยจงคังที่ตอนนี้แย่งทำงานทุกๆ อย่างลุกขึ้นมา อู๋ซานเหลี่ยงลุกขึ้นตาม ทั้งสองไปหาหัวหน้าจุดพักม้าด้วยกัน ขอเพียงมีเงิน อะไรๆ ก็จัดการได้ง่าย ขอยืมครัวใช้งานเสียหน่อยจะนับเป็นอันใดได้
แต่ที่นี่ล้วนเป็นอาคารชั้นเดียว ห้องครัวค่อนข้างไกลจากที่นี่ แต่แน่นอนว่ามิได้ไกลเท่าใดนัก
หลังรออยู่พักหนึ่ง ทั้งสองก็กลับมา เหลยจงคังยกหมูตุ๋นน้ำแดงจานหนึ่งเข้ามา วางลงบนโต๊ะแล้วนั่งลง
ทางนี้เริ่มขยับตะเกียบ พวกเขาเองก็ไม่ได้ลิ้มรสชาตินี้มานานหลายวันแล้ว พอได้กินเข้าไป เนื้อต้มจิ้มน้ำจิ้มที่อยู่ตรงหน้าเรียกได้ว่ากลายเป็นขยะไปทันที
ผ่านไปครู่หนึ่ง กลิ่นหอมบางอย่างลอยอบอวลไปทั่วห้องโถง
ทั้งสี่คนที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งพากันหันมามอง เด็กหนุ่มที่เป็นเด็กหญิงปลอมตัวเป็นชายผู้นั้นกะพริบดวงตาที่กลมโต จ้องมองมาทางด้านนี้ ราวกับกำลังมองดูว่าสิ่งที่พวกหนิวโหย่วเต้ากำลังคีบกินคำแล้วคำเล่าคืออะไร
หญิงวัยกลางคนนางนั้นมองดูท่าทีของเด็กหนุ่ม จึงลุกขึ้นมา เดินมาหยุดข้างโต๊ะของพวกหนิวโหย่วเต้า มองดูสิ่งที่อยู่ในจานเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปร้องสั่งพวกหัวหน้าจุดพักม้าที่กำลังมองมาทางนี้เพราะได้กลิ่นหอมเช่นเดียวกัน “หัวหน้าจุดพักม้า เอาแบบที่พวกเขากินมาให้พวกเราด้วยที่หนึ่ง”
พวกเฮยหมู่ตานมองหนิวโหย่วเต้า เห็นหนิวโหย่วเต้ายิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย
หัวหน้าจุดพักม้ารีบเดินเข้ามา หลังได้เห็นสิ่งที่หญิงวัยกลางคนผู้นั้นชี้ก็รู้สึกจนปัญญาขึ้นมาเล็กน้อย เอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจว่า “ท่านลูกค้า ต้องขออภัยจริงๆ ขอรับ จุดพักม้าของข้าทำไม่ได้ขอรับ”
สีหน้าของหญิงวัยกลางคนคร่ำเคร่งลงทันที กล่าวว่า “หมายความว่าอย่างไร? กลัวพวกเราไม่มีเงินจ่ายหรือไร?” กล่าวจบก็หยิบเหรียญทองเหรียญหนึ่งออกมา “ไปทำมาเดี๋ยวนี้”
หัวหน้าจุดพักม้าดูคล้ายหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เอ่ยว่า “ท่านลูกค้า ทำไม่ได้จริงๆ ขอรับ ทางจุดพักม้าของเราทำอาหารนี้ไม่เป็น นี่เป็นอาหารที่พวกเขาปรุงขึ้นมาเองขอรับ”
หนิวโหย่วเต้าเงยหน้าขึ้น เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “พี่สาวท่านนี้ ท่านก็อย่าสร้างความลำบากใจให้เขาเลย อาหารที่พวกเรากินเป็นอาหารสูตรลับเฉพาะ ใต้หล้านี้มีคนที่เคยลิ้มรสแทบนับนิ้วได้ พวกเขาทำไม่ได้จริงๆ”
“…..” หญิงวัยกลางคนพูดไม่ออก หันกลับไปมองทางโต๊ะของตน
เมื่อได้ยินว่าเป็นอาหารที่ใต้หล้านี้มีเพียงไม่กี่คนที่เคยลิ้มรส เด็กหนุ่มคนนั้นก็อดใจไม่อยู่ ลุกขึ้นเดินเข้ามา คล้ายอยากเห็นว่าเป็นสิ่งใดกันแน่
ชายวัยกลางคนสองคนนั้นก็เดินตามหลังมา ด้วยอยากเห็นเช่นกันว่าคืออะไร
ชายหนุ่มตุ้งติ้งเชิดหน้าอย่างเย่อหยิ่ง เอ่ยว่า “ว่ามา เท่าไร?”
หนิวโหย่วเต้าตอบอย่างเรียบเฉย “ไม่มาก แค่ล้านเหรียญทองเท่านั้น!”
คางที่เชิดขึ้นอย่างเย่อหยิ่งของชายหนุ่มตุ้งติ้งลดต่ำลงทันที ดวงตาเบิกกว้าง เอ่ยถามด้วยความตกใจว่า “เท่าไรนะ?”
หนิวโหย่วเต้าตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ “หนึ่งล้านเหรียญทอง!”
พวกเฮยหมู่ตานลอบเหงื่อตก ราคานี้…คนกลุ่มนี้เพียงแค่มองดูก็รู้แล้วว่ามิใช่คนธรรมดา เต้าเหยี่ย ท่านแสดงท่าทีขูดรีดอีกฝ่ายอย่างซึ่งหน้าเช่นนี้ เกรงว่าจะต้องเกิดปัญหาแน่
แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ พวกเฮยหมู่ตานสังเกตเห็นว่าชายวัยกลางคนสองคนนั้นหรี่ตาลงเล็กน้อย แววตาของหญิงวัยกลางคนก็ค่อยๆ คร่ำเคร่งเย็นชาขึ้นด้วยเช่นกัน
ชายหนุ่มตุ้งติ้งอุทานออกมา “หนึ่งล้านเหรียญทอง เจ้าจะปล้นกันหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าหันไปเอ่ยกับเฮยหมู่ตาน “ตั๋วแลกทอง!”
เฮยหมู่ตานไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร มองเขาด้วยสายตาสอบถาม กำลังถามว่าจะเอาเท่าไร
หนิวโหย่วเต้างอนิ้วขึ้นมาบอกจำนวน เฮยหมู่ตานล้วงเอาตั๋วแลกทองปึกหนึ่งออกมาจากบนร่างแล้วยื่นให้เขา เป็นจำนวนแปดแสนถ้วน ในใจหวาดวิตกขึ้นมาเล็กน้อย เปิดเผยทรัพย์สินเช่นนี้จะดีหรือ?
หนิวโหย่วเต้ารับตั๋วแลกทองมา โยนลงตรงหน้าสตรีวัยกลางคนที่ยืนอยู่ริมโต๊ะ เอ่ยไปว่า “ตัวข้าไม่ชอบมีปัญหาวุ่นวาย มากเรื่องมิสู้น้อยเรื่อง ขอซื้อความสงบสักครั้งได้หรือไม่? รับไว้ แล้วไปซะ อย่าได้มารบกวนการกินอาหารของพวกเรา”
ทั้งสี่คนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามจ้องมองตั๋วแลกทองที่กระจายตัวอยู่บนโต๊ะปึกนั้น ในระยะเวลาเพียงชั่วขณะไม่อาจนับได้ว่ามีอยู่ทั้งหมดกี่ใบ แต่ทุกคนต่างเห็นว่าทุกใบล้วนเป็นตั๋วแลกทองมูลค่าหนึ่งหมื่นเหรียญทองซึ่งเป็นมูลค่าสูงสุด เมื่อมองดูคร่าวๆ แล้ว อย่างน้อยจะต้องมีมากกว่าหกสิบเจ็ดสิบใบ
บรรยากาศพลันตึงเครียดขึ้นมา จู่ๆ ชายหนุ่มตุ้งติ้งก็ก้าวออกมา หยิบตั๋วแลกทองขึ้นมาตรวจสอบ คล้ายไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนที่ใจป้ำถึงเพียงนี้อยู่ นึกสงสัยว่าจะเป็นของปลอม
ทว่าหลังจากตรวจสอบแล้ว ใบหน้านางพลันแดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะคว้าเอาตั๋วแลกทองใบอื่นมาตรวจสอบอีก สุดท้ายก็ตบตั๋วแลกทองกลับไปบนโต๊ะ คล้ายค่อนข้างอับอายจนพาลโกรธ ราวกับถูกทำให้เสียหน้าเป็นอย่างยิ่ง หันกลับไปตะโกนใส่คนของตนว่า “หนึ่งล้านก็หนึ่งล้าน เอาเงินให้เขาซะ วันนี้ข้าจะให้เขาทำให้ได้!”
หัวคิ้วของหนิวโหย่วเต้ากระตุกขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นหยิบตะเกียบขึ้นมาอย่างเฉยชา ค่อยๆ คีบเนื้อใส่ปากเคี้ยวกิน
เมื่อได้เห็นปฏิกิริยาของชายหนุ่มตุ้งติ้งผู้นั้น ชายวัยกลางคนทั้งสองและหญิงวัยกลางคนนางนั้นก็ทราบแล้วว่าตั๋วแลกทองพวกนี้เป็นของจริง!
ทั้งสามรีบเก็บสีหน้าที่เผยเจตนาร้ายที่เพิ่งแสดงไปเมื่อครู่นี้ มองหนิวโหย่วเต้าอย่างระแวดระวังเล็กน้อย คนที่ควักเงินก้อนใหญ่เพื่อซื้อความสงบโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงเช่นนี้ อีกทั้งยังไม่ทราบถึงประวัติความเป็นมา นี่ทำให้พวกเขารู้สึกหวั่นเกรงเล็กน้อย กลัวว่าจะไปล่วงเกินคนที่ไม่สมควรล่วงเกินเข้า
หญิงวัยกลางคนดึงข้อมือของสาวน้อยไว้ กระซิบเกลี้ยกล่อม “คุณชาย พอแล้วเจ้าค่ะ”
………………………………………………………..
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า