ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 262

ตอนที่ 262 ถูกหนิวโหย่วเต้าสังหารไปแล้ว!

ชายผอมสูงเซถอยไปหลายก้าว ในที่สุดก็ค้ำกระบี่ที่อยู่ในมือลงไปบนพื้น ค่อยๆ ทรุดตัวคุกเข่าลงไปบนพื้นทราย

ผู้บำเพ็ญเพียรสิบกว่าคนจากสามสำนักตะลึงงัน คนที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้ ถูกจัดการง่ายๆ แบบนี้น่ะหรือ?

ผ้าคลุมสีดำปลิวสะบัด หนิวโหย่วเต้าเหินเข้ามา ร่อนลงตรงหน้าชายผอมสูง มองสำรวจจากบนลงล่างพลางเอ่ยถาม “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ?”

นี่มิใช่การเย้ยหยัน แล้วก็มิใช่การแสร้งถามทั้งที่รู้อยู่แล้ว เขาหมายความว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บมาตั้งแต่อยู่ใต้พื้นทรายก่อนหน้านี้หรือ มิเช่นนั้นตัวเขาเองก็ไม่เชื่อว่าจะคนแบบนี้จะถูกจัดการได้ง่ายๆ เช่นนี้

ชายผอมสูงที่มีโลหิตไหลซึมจากมุมปากค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองหนิวโหย่วเต้า เมื่อครู่เขาทราบแล้วว่าตนไม่เหลือแรงพอสู้ต่ออีก เดิมคิดจะใช้พลังทั้งหมดโจมตีทุกคน ทำให้ทุกคนไม่กล้าเสี่ยงลงมือง่ายๆ จากนั้นค่อยรีบหลบหนีไป ผู้ใดจะทราบว่าหนิวโหย่วเต้ากลับไม่ให้โอกาสเขาเลย พอเห็นช่องโหว่ก็ตัดสินใจลงมืออย่างเฉียบขาด ตัดช่องทางหนีของเขา

เขาค่อยๆ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา ชี้หนิวโหย่วเต้า “เจ้า…”

มือที่ยกขึ้นมาสั่นไหวเล็กน้อย แกว่งไปมาอย่างไร้เรี่ยวแรง ศีรษะเองก็ค่อยๆ เอียงพับลงมาที่หน้าอกอย่างอ่อนแรง มือยันกระบี่ไว้ไม่ล้มลงไป คุกเข่านิ่งเงียบอยู่ท่ามกลางพื้นทราย โลหิตซึมออกมาจากปาก ไหลหยดลงไปไม่หยุดคล้ายสร้อยไข่มุกที่ขาดออกจากกัน

ภายใต้ม่านรัตติกาล ทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตยังคงดูแปลกประหลาดและเต็มไปด้วยอันตราย

จันทราเดียวดาย ส่องแสงกระทบร่างหนิวโหย่วเต้าที่ยืนหลุบตามองอยู่ตรงนั้น ผ้าคลุมสีดำปลิวไสว แล้วก็ยังมีร่างคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นตรงหน้าเขาด้วย

สีหน้าหนิวโหย่วเต้านิ่งเฉย ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วอีกฝ่ายต้องการจะพูดอะไร มองเขาอยู่เนิ่นนาน

แม้ว่าแมงป่องทรายรอบข้างจะกรูกันเข้ามาอีก เขาก็ยังนิ่งเฉยไม่แยแส

ศิษย์จากสามสำนักที่ยังมีชีวิตรอดพุ่งเข้ามา มีคนกระจายตัวล้อมอยู่รอบข้างคอยสกัดแมงป่องทรายเหล่านั้น ไม่ปล่อยให้แมงป่องทรายเหล่านั้นได้เข้าใกล้

มีคนมองชายผอมสูงที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้น จากนั้นก็มองหนิวโหย่วเต้าที่นิ่งเงียบไม่พูดจา ต่างรู้สึกยากจะเชื่อได้

ขอเพียงมิใช่คนโง่ก็ล้วนแต่ทราบกันทั้งสิ้น พลังของชายผอมสูงคนนี้แกร่งกล้าเป็นอย่างยิ่ง มาตรว่าการโจมตีสุดท้ายจะทุ่มพลังทั้งหมดออกมาถึงได้น่าหวาดกลัวถึงเพียงนั้น แต่นั่นก็เพียงพอจะแสดงให้เห็นถึงพลังของคนผู้นี้แล้ว เกรงว่าต่อให้ทั้งกลุ่มร่วมมือกันก็คงขวางคนผู้นี้ไม่ได้

พลังของคนผู้นี้ ทั่วทั้งสามสำนักรวมถึงเจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโส คาดว่าคงไม่มีใครที่จะต่อกรคนผู้นี้ได้เช่นกัน!

มิน่าล่ะ ทั้งๆ ที่เห็นอยู่ว่ามีกองหนุนมากมายขนาดนี้ไล่ตามมาก็ยังไม่ยอมหนี ยังคงตามไล่ล่าหนิวโหย่วเต้าต่อไป เพราะมีความสามารถระดับนี้ จึงไร้ความหวั่นเกรงอย่างสิ้นเชิง

และเนื่องด้วยเหตุนี้ ทุกคนถึงไม่อยากจะเชื่อว่ายอดฝีมือที่แข็งแกร่งปานนี้จะมาถูกสังหารง่ายๆ เช่นนี้ได้

พวกเขาย่อมทราบดีว่าไม่ได้มีสาเหตุมาจากการกลุ้มรุมโจมตีของพวกเขาเลย เมื่อครู่พวกเขาถึงขนาดที่ว่าหาทางเข้าใกล้อีกฝ่ายไม่ได้ด้วยซ้ำ ซ้ำยังถูกโจมตีจนได้รับบาดเจ็บอีก กระทั่งมีคนถูกโจมตีจนเสียชีวิตไปสองคนพร้อมกัน พลังของคนผู้นี้น่ากลัวขนาดไหน เพียงแค่คิดดูก็รู้แล้ว!

เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้บาดเจ็บตั้งแต่ดำอยู่ใต้ดินก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งยังบาดเจ็บสาหัสด้วย

สาเหตุที่บาดเจ็บสาหัสก็เดาได้ไม่ยากเช่นกัน เพียงแต่แววตาที่พวกเขามองหนิวโหย่วเต้าเต็มไปด้วยความสับสนลังเล ด้วยพลังของหนิวโหย่วเต้าจะสามารถทำร้ายคนผู้นี้ได้หรือ? มันจะน่าเหลือเชื่อเกินไปหน่อยแล้ว!

ทว่านอกจากสาเหตุนี้แล้ว ทุกคนก็คิดไม่ออกแล้วเช่นกันว่าจะยังมีสาเหตุอื่นใดได้อีก

“ส่งคนผู้นี้มา นี่เท่ากับต้องการให้ท่านตายให้ได้ เป็นผู้ใดกันที่สามารถส่งยอดฝีมือเช่นนี้มาล่าสังหารท่านได้?” มีคนเอ่ยถาม

หนิวโหย่วเต้าตอบไม่ตรงคำถาม “พวกเจ้ามีใครรู้จักคนผู้นี้หรือไม่?”

ทุกคนต่างส่ายหน้า มีคนเอ่ยขึ้นว่า “ถึงแม้จะมิใช่ยอดฝีมือชั้นแนวหน้า แต่ด้วยพลังของคนผู้นี้ จะต้องมิใช่พวกปลายแถวไร้นามแน่นอน น่าจะติดอยู่ในสามร้อยลำดับแรกของทำเนียบโอสถขอรับ!”

หนิวโหย่วเต้ายื่นมือไปชักกระบี่ออกมาจากทรวงอกของชายผอมสูง พลันตวัดกระบี่ สะบั้นศีรษะของอีกฝ่ายลงมา เงยหน้ามองดวงจันทร์พลางเอ่ยเนิบๆ “เอาหัวไป ให้คนตรวจสอบดูหน่อยว่ามีใครรู้จักคนผู้นี้หรือไม่ ที่นี่อยู่ต่อไม่ได้แล้ว เก็บกวาดให้เรียบร้อยแล้วไปกันเถอะ!”

เขาสะบัดคราบเลือดที่เปื้อนกระบี่ออก เก็บเข้าไปในผ้าคลุมสีดำผืนใหญ่ สอดเข้าฝักกระบี่ดังฉึบ

ทุกคนรีบเก็บกวาดสถานที่อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นมีคนกำลังเก็บศพของศิษย์ทั้งสองจากฝั่งสามสำนักอยู่ หนิวโหย่วเต้าพลันกวาดมองจำนวนคนรอบข้าง เห็นว่าหายไปหลายคน จึงเดินเข้าไปดูเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “ฝั่งเราบาดเจ็บล้มตายไปเท่าไร?”

ผู้รับหน้าที่จัดการศพถอนหายใจพลางตอบไปว่า “เดิมทีไม่มีผู้บาดเจ็บล้มตายเลยขอรับ แต่เมื่อครู่พอคนผู้นั้นโผล่มา ด้วยการโจมตีนั้น สังหารคนฝั่งพวกเราไปสองคน คนที่เหลือก็ได้รับบาดเจ็บกันบ้างไม่มากก็น้อย”

หนิวโหย่วเต้ามองสำรวจรอบข้างแล้วเอ่ยถาม “เชลยล่ะ? จับได้สักคนหรือไม่?”

ผู้รับหน้าที่จัดการศพตอบว่า “เมื่อครู่เดิมทีจับได้หนึ่งคน แต่เพื่อขัดขวางคนผู้นั้น จึงไม่ทันได้สนใจเชลย เขานอนอยู่บนพื้นถูกแมงป่องทรายกัดกินทั้งเป็นไปแล้วขอรับ แต่ก็ไม่ต้องกังวลขอรับ ก่อนหน้านี้จับตัวเชลยได้สองคน นำกลับไปส่งทางหอไร้ขอบเขตแล้วขอรับ”

หนิวโหย่วเต้าโล่งอก เสี่ยงอันตรายขนาดนี้ เสียค่าตอบแทนไปมากขนาดนี้ สุดท้ายก็บรรลุเป้าหมาย

ไม่นานนัก คนทั้งกลุ่มเหินข้ามแมงป่องทรายไป ทะยานขึ้นๆ ลงๆ หายลับเข้าไปในความมืดมิดของรัตติกาลอย่างรวดเร็ว

ส่วนซากศพที่ถูกทิ้งไว้ที่เดิมก็ถูกแมงป่องทรายฉีกทึ้งไปเป็นอาหาร แม้แต่ซากของพวกเดียวกันก็ไม่เว้น กระทั่งกระดูกก็ถูกกัดแทะ เอาไว้ผ่านคืนนี้ไปก็จะไม่เหลือร่องรอยใดๆ อยู่อีก ทะเลทรายผืนนี้จะลืมเลือนเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในคืนนี้ไป

….

หนิวโหย่วเต้าบรรลุเป้าหมายแล้ว ทั้งกลุ่มไม่จำเป็นต้องปิดบังร่องรอยอีก แล้วก็ไม่กล้าปล่อยให้หนิวโหย่วเต้าเสี่ยงอันตรายคนเดียวอีกแล้ว รวมกลุ่มกันทะยานขึ้นสู่ยอดเขา มาถึงหอไร้ขอบเขต

“เต้าเหยี่ย ท่านไม่เป็นอะไรกระมัง?”

เมื่อเห็นหนิวโหย่วเต้า กงซุนปู้ที่เดินกลับไปกลับมาอยู่ในศาลาหลังหนึ่งก็รีบปรี่เข้ามาสอบถาม

“กลับไปค่อยว่ากัน” หนิวโหย่วเต้าที่สวมผ้าคลุมสีดำเอ่ยตอบประโยคเดียว

ทั้งกลุ่มเดินอาดๆ อยู่ภายในหอไร้ขอบเขต คนมากมายที่สัญจรผ่านมาสังเกตเห็นว่าคนที่ในผ้าคลุมสีดำได้รับการปกป้องคุ้มกันอยู่ท่ามกลางคนกลุ่มใหญ่

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า