ตอนที่ 281 คนประเภทเดียวกันย่อมดึงดูดเข้าหากัน
“ข้า…” ฮูเหยียนเวยสะบัดแส้ อยากพูดยิ่งนักว่าจะไม่ทำงานนี้ต่อแล้ว คิดจะโดดงานแล้วหนีไปเสีย
แต่พอมาคิดดูอีกที กระทั่งคนแขนขาดขาขาดก็รับเข้ามา หากตนไปแล้ว ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายจะรับคนแบบไหนเข้ามาบ้าง หากปล่อยให้เอากลุ่มคนพิกลพิการมาทำงานในร้านเต้าหู้ ลอยชายไปมาต่อหน้าเหล่าสหายของตน เกรงว่าบรรดาสหายเหล่านั้นคงหยิบยกมาล้อเลียนตนทุกครั้งที่พบหน้าเป็นแน่ เช่นนั้นตนจะใช้ชีวิตต่อไปได้หรือ?
เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว หลังจากนี้จะต้องคัดเลือกให้ดี
เขาหันไปตะคอกใส่กลุ่มคนที่ต่อแถวอยู่ “มองอะไรกัน เดินไปสิ!”
“คุณชาย สามีข้าตายในสงคราม ท่านรับข้าไว้ด้วยเถอะ…”
ท่ามกลางกลุ่มคนยังมีคนที่เดินผ่านไปแต่ไม่ได้รับเลือกก่อนหน้านี้ จู่ๆ พวกเขาเหล่านั้นก็พากันส่งเสียงอ้อนวอนขึ้นมาเป็นทอดๆ ไม่ทราบเช่นกันว่าจริงหรือเท็จ ล้วนพากันพูดกับหยวนกัง
เพียะ! ฮูเหยียนเวยฟาดแส้คราหนึ่ง “พล่ามบ้าอะไร?”
หยวนกังเมินเฉยต่อเสียงคร่ำครวญเหล่านี้ ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ เขาก็ไม่อาจช่วยเหลือคนเหล่านี้ได้หมด
โชคดีที่ในเวลานี้ทหารม้าสองร้อยนายพร้อมทหารราบหนึ่งพันนายเดินตบเท้าเข้ามาดังครืนๆ กำลังเสริมที่ก่อนหน้านี้ฮูเหยียนเวยส่งคนไปเชิญมาได้เดินทางมาถึงแล้ว
พอทหารมาถึง ฮูเหยียนเวยก็เอ่ยทักทายผู้นำกองทหารเล็กน้อย เมื่อกองทหารมาถึงก็เข้าเสริมกำลังดำเนินการรักษาความสงบให้เข้มงวดขึ้นทันที เสียงโวยวายที่เพิ่งดังขึ้นเงียบสงบลงอย่างรวดเร็ว
การรับสมัครดำเนินไปเช่นนี้ จนล่วงเลยไปถึงช่วงบ่ายถึงจะรับสมัครคนงานจนครบจำนวนสามร้อยคน
พูดให้ถูกคือสามร้อยกับอีกสองคน ไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นเพราะฮูเหยียนเวยโมโหหรือเพราะอะไร เขาต้องการจะรับสมัครด้วยตัวเองให้ครบสามร้อยคนให้ได้ ส่วนชายชราสองคนนั้นคาดว่าจะส่งไปให้หยวนกังจัดการแทน
หยวนกังนับจำนวนคนอยู่ใจเงียบๆ สมาชิกของตนเหล่านั้นยังมีอยู่อีกยี่สิบกว่าคนที่ไม่ได้รับการคัดเลือก ไม่ใช่เพราะไม่เข้าตาฮูเหยียนเวย หากแต่เป็นเพราะจำนวนคนงานครบแล้ว กลุ่มคนที่รั้งอยู่ท้ายๆ จึงไม่จำเป็นต้องเข้าคัดเลือกอีก คนอีกยี่สิบกว่าคนนั้นจึงไม่ได้เดินเรียงแถวมาเข้ารับการคัดเลือก
ฮูเหยียนเวยตะโกนบอกให้แยกย้ายกันไป ส่วนตัวเขาสะบัดแขนเสื้อจากไปก่อนแล้ว ตอนที่จากไปก็คล้ายจะไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไร ไม่ได้ร่ำลาหยวนกังแม้แต่น้อย
หยวนกังส่ายหน้าให้สมาชิกบางคนที่อยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างเงียบๆ คนผู้นั้นเข้าใจความหมาย หันไปส่งสัญญาณต่อให้คนอื่นอย่างลับๆ ก่อนจะพากันทยอยถอนตัวออกไป
เหตุผลที่หยวนกังรับสมัครคนงานสามร้อยคน เพราะเป็นการปกปิดอำพรางอย่างหนึ่ง คนที่ไม่ใช่คนของเขาก็ปล่อยให้ฮูเหยียนเวยรับเข้ามาก่อนแล้วค่อยว่ากัน หากไม่ต้องการจริงๆ ล่ะก็ วันหน้าจะไล่ออกไปก็ไม่ใช่เรื่องลำบากยากเย็นอะไร ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาต้องการใช้คนจำนวนหนึ่งมาช่วยปกปิดอำพรางจริงๆ
อีกทั้งเขาไม่ได้วางแผนจะนำผู้ติดตามทั้งหมดของตนมาไว้ใกล้ตัวด้วย เขาต้องการคนไว้ทำงานอย่างลับๆ ด้วยเช่นกัน
……
ณ เรือนเมฆาขาว ซูจ้าวยืนอยู่ริมราวกั้นระเบียง มองคณิกากลุ่มหนึ่งที่ซ้อมเต้นรำอยู่ในสวนบุปผาด้านล่าง
ฉินเหมียนก้าวขึ้นมาบนระเบียง มาหยุดอยู่ข้างกายนางพลางเอ่ยขึ้นว่า “คนที่ส่งไปสืบข่าวกลับมาเจ้าค่ะ การรับสมัครคนงานเสร็จสิ้นแล้วเจ้าค่ะ”
ซูจ้าวถาม “ร้านเต้าหู้ร้านเดียวรับสมัครคนมากมายขนาดนี้ไปทำไม ต่อให้ยุ่งแค่ไหนก็ไม่ถึงขั้นต้องรับสมัครสามร้อยคนกระมัง?”
ฉินเหมียนเอ่ยว่า “ได้ยินว่าจะขยับขยายจัดจำหน่ายไปทั่วเมืองหลวงเจ้าค่ะ”
ซูจ้าวส่ายหน้าเล็กน้อย “ตระกูลมีอำนาจก็คือตระกูลมีอำนาจวันยังค่ำ แค่ขายของว่างก็ยังทำเสียใหญ่โตเช่นนี้ ดูเหมือนฮูเหยียนเวยจะทำกำไรต่อปีได้ไม่น้อยเลย การรับสมัครคนเป็นอย่างไรบ้าง?”
ฉินเหมียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จุดรับสมัครคนคึกคักเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ ได้ยินว่าคนที่มาสมัครอาจจะมีถึงหลักหมื่นเลยทีเดียว นอกจากนี้อันไท่ผิงคนนั้นยังมีปากเสียงกับฮูเหยียนเวยเล็กน้อยเรื่องรับสมัครคนด้วยนะเจ้าคะ”
ซูจ้าวหันไปมอง เอ่ยด้วยความสงสัยใคร่รู้ “เรื่องเป็นมาอย่างไร?”
“เพื่อชายชราสองคน คนหนึ่งขาด้วน คนหนึ่งแขนด้วน…” ฉินเหมียนถ่ายทอดเหตุการณ์ที่ได้รับทราบมาออกมา
“ทหารกล้าไม่ตาย เพียงโรยรา…” ซูจ้าวพึมพำกับตัวเอง ดวงตางามกระจ่างคล้ายจะจมดิ่งอยู่ในห้วงอารมณ์บางอย่าง
ฉินเหมียนเอ่ยยิ้มๆ “อันไท่ผิงคนนี้มักจะพูดจาแปลกประหลาดเช่นนี้อยู่เรื่อย แต่กลับรู้สึกจับใจยิ่งนัก”
ซูจ้าวพึมพำกับตัวเอง “เป็นบุรุษที่มีความเข้าอกเข้าใจผู้อื่นทีเดียว”
ฉินเหมียนเอ่ยว่า “อย่าว่าแต่นายหญิงเลยเจ้าค่ะ ข้าเองก็รู้สึกว่าอันไท่ผิงคนนี้น่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ข้าเองก็อยากจะพูดคุยติดต่อกับเขา เอาไว้ข้าจะหาโอกาสไปทำความรู้จักดูสักหน่อยนะเจ้าคะ”
ซูจ้าวกล่าวว่า “ไปสืบประวัติของคนแขนขาด้วนคู่นั้นมาหน่อย!”
“เจ้าค่ะ!” ฉินเหมียนพยักหน้า “สั่งให้คนไปตรวจสอบแล้วเจ้าค่ะ”
“เรื่องเรือเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ตอนนี้ทุกอย่างราบรื่นดีเจ้าค่ะ”
……
ภายในสวนบุปผาของจวนสกุลฮูเหยียน บุรุษรูปร่างผึ่งผายบึกบึนคนหนึ่งกำลังน้าวสายยิงธนูอยู่ ลูกธนูดอกแล้วดอกเล่ายิงโดนกลางเป้าที่อยู่ไกลออกไป
แววตาของชายฉกรรจ์โชนแสงเปล่งประกาย มีหนวดเคราเต็มหน้า เพียงแต่มีหนวดเคราสีขาวแซมปะปนอยู่ด้วย สีหน้าท่าทางดูดุดันน่าเกรงขาม เป็นฮูเหยียนอู๋เฮิ่นแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นฉี
บุคลิกความเป็นชนเผ่าเร่ร่อนบนตัวเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลงไป เขายังคงสวมชุดชนเผ่าพื้นเมืองอยู่
แม้ว่าในอดีตเมื่อนานมาแล้ว เนื่องจากซางซ่งรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งเดียว ทำให้ใต้หล้าผสมกลมกลืนกัน แล้วก็ทำให้เสื้อผ้าที่แต่ละแคว้นสวมใส่ล้วนไม่ต่างกันมากนัก แต่สำหรับชนเผ่าเร่ร่อนทางแคว้นฉีแล้ว หลังจากได้ยึดครองพื้นที่ส่วนหนึ่งและสถาปนาเป็นแคว้นฉีขึ้นมา เสื้อผ้าที่ใช้สวมใส่เหมือนกันทั่วหล้าเหล่านั้นได้กลายเป็นชุดลำลอง ส่วนชุดชนเผ่าพื้นเมืองกลายเป็นชุดทางการ และนับว่าเป็นข้อแตกต่างระหว่างแคว้นฉีและแคว้นอื่นด้วย
ตามปกติแล้วฮูเหยียนอู๋เฮิ่นจะสวมชุดชนเผ่าพื้นเมืองเช่นนี้อยู่เสมอ
พ่อบ้านฉาหู่สาวเท้าเดินเข้ามา พอเข้ามาใกล้ก็ผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า