ตอนที่ 298 หยวนกัง ซูจ้าว
เสียงเคาะประตูแว่วดังก๊อกๆ ฉินเหมียนที่อยู่ริมหน้าต่างหันกลับไปตะโกนว่า “เข้ามา!”
หยวนกังเปิดประตูเข้าไป ในห้องมีสตรีอยู่สองนาง คนหนึ่งนั่งคนหนึ่งยืน สายตาล้วนมองมาที่ร่างเขา
หยวนกังกวาดตามองฉินเหมียน ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ใบหน้าซูจ้าว จ้องหน้าซูจ้าวเขม็งพลางเดินเข้าไป ยืนอยู่ตรงหน้าซูจ้าว
การถูกมองจากมุมสูงกว่าเช่นนี้ทำให้รู้สึกกดดัน ซูจ้าวจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
เนื่องจากส่วนสูงต่างกัน ซูจ้าวต้องเงยหน้าขึ้นถึงจะสบตากับอีกฝ่ายได้ ทั้งสองจ้องตากัน
ดวงตาของซูจ้าวฉายแววขบขัน
ทว่าดวงตาของหยวนกังกลับคล้ายทะเลดวงดาว ไม่ปรากฏความหื่นกระหาย ไม่รู้สึกชื่นชมในความงามของสตรี มีเพียงความลึกและเรียบเฉย
เมื่อสบเข้ากับดวงตาคู่นี้ ซูจ้าวยิ้มไม่ค่อยออก กลิ่นอายบุรุษเพศที่แผ่ออกมาจากร่างของอีกฝ่าย นางก็คล้ายจะรับรู้ได้อย่างชัดเจนเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนเรือ ทั้งคู่อยู่ค่อนข้างห่างกันจึงไม่มีอะไร แต่ตอนนี้พอยืนใกล้กันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นร่างกายกำยำที่แฝงความกดดันไว้ของหยวนกังหรือว่าสายตาที่เรียบเฉยคู่นั้น ตลอดจนกลิ่นอายบุรุษเพศที่ทำให้สตรีโอนอ่อนลงตามสัญชาตญาณ ซูจ้าวล้วนรับรู้ได้อย่างชัดเจนทั้งสิ้น
เมื่อยืนอยู่ใกล้กับหยวนกัง ซูจ้าวถึงจะสังเกตเห็นว่าที่แท้ชายหญิงนั้นมีความแตกต่างระหว่างเพศเด่นชัดถึงเพียงนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่นางตระหนักถึงความเป็นสตรีของตนอย่างแจ่มแจ้งชัดเจนเช่นนี้ ส่วนอีกฝ่ายก็คือบุรุษ เป็นชายชาตรีอย่างแท้จริง!
ความรู้สึกนี้รุนแรงเป็นอย่างยิ่ง ถึงขั้นที่ทำให้จิตใจนางว้าวุ่นเล็กน้อย ดวงตางามกระจ่างวูบไหวนิดๆ ไม่กล้าสบตากับอีกฝ่ายต่อ
ที่นางกล้าเรียกหาหยวนกัง เพราะเดิมทีในใจมีความรู้สึกว่าตนเป็นฝ่ายเหนือกว่า ยามนี้เพิ่งสังเกตเห็นว่าความนิ่งเฉยไร้ซึ่งความกริ่งเกรงใดๆ ของคนธรรมดาผู้นี้มีมากพอจะสะกดความรู้สึกเหนือกว่าทั้งปวงลงไปได้ ดูจากสายตาที่อีกฝ่ายมองนางก็รู้แล้ว ไม่ได้เห็นความสูงส่งของนางอยู่ในสายตาเลย
“แม่นางคือเถ้าแก่ของเรือนเมฆาขาวที่นามว่าซูจ้าวกระมัง?” หยวนกังถามอย่างไร้ซึ่งความเกรงกลัว
การเผชิญหน้ากับบุรุษที่ให้ความรู้สึกกดดันอย่างแรงกล้าเช่นนี้ ทำให้จิตใจของซูจ้าวเสียศูนย์ไปเล็กน้อย ดวงตางามกระจ่างเบนหลบไปอย่างรวดเร็ว พยายามรักษาสีหน้าให้สงบนิ่งไว้ เบี่ยงกายออกไปเล็กน้อย เลี่ยงที่จะสบตากับเขา ตอบเสียงเรียบว่า “ใช่ ข้าเอง!”
หยวนกังถาม “เถ้าแก่ซูไม่พอใจเต้าฮวยของร้านเราหรือ?”
ซูจ้าวตอบว่า “หามิได้”
หยวนกังถามต่อ “เช่นนั้นเรียกพบข้าหลายต่อหลายครั้งด้วยเหตุใด?”
ซูจ้าวสงสัยขึ้นมา เหตุใดถึงรู้สึกเหมือนตนกลายเป็นนักโทษที่ถูกไต่สวนอยู่เล่า เหตุใดตนต้องกลัวเขาด้วย ด้วยเหตุนี้จึงหันมาเผชิญหน้าตรงๆ อีกครั้ง “ครั้งก่อนเถ้าแก่อันช่วยปกป้องสาวใช้ของข้า ยังไม่มีโอกาสได้ขอบคุณเลย ข้าย่อมต้องมาแสดงความขอบคุณต่อหน้าถึงจะถูก”
หยวนกังกล่าวว่า “เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ”
ซูจ้าวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หาใช่เรื่องเล็กน้อยไม่ ข้าเห็นกับตาว่าเพื่อปกป้องสาวใช้ของข้าแล้ว เถ้าแก่อันถูกแส้เฆี่ยนตีไปไม่น้อย”
หยวนกังจ้องมองใบหน้าของนาง เอ่ยถามว่า “ท่านคิดจะขอบคุณอย่างไร?”
ซูจ้าวถูกเขามองจนอึดอัดไปทั้งตัว ราวกับต้องการจดจำรายละเอียดทั้งหมดบนใบหน้าตนไว้ก็ไม่ปาน ในใจรู้สึกเขินอายจนพาลโกรธขึ้นมา นึกอยากจะยื่นสองนิ้วออกไปจิ้มตาเขาให้บอดเสีย มีใครเขามองคนอื่นกันแบบนี้บ้าง?
ฉินเหมียนที่อยู่ด้านข้างเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เถ้าแก่อัน ท่านจ้องมองสตรีแบบนี้ มันเหมาะสมแล้วหรือ?”
หยวนกังค่อยๆ หันไปมองนาง ตอบไปว่า “รูปโฉมงดงามจึงอยากมองให้มากหน่อย”
“…….” ฉินเหมียนถูกคำพูดนี้อุดปากไว้จนพูดไม่ออก พบว่าคนผู้นี้ตรงไปตรงมาจริงๆ ไม่อ้อมค้อมเลยสักนิดเดียว นางยิ้มเจื่อนพลางกล่าวว่า “ต่อให้รูปโฉมงดงามแค่ไหน ท่านก็ไม่อาจจ้องมองเช่นนี้ได้ สตรีคนไหนจะรับได้กันเล่า?”
หยวนกังหันไปมองทางซูจ้าวอีกครั้ง ถามไปตรงๆ “มองไม่ได้หรือ?”
“……” ซูจ้าวก็พูดไม่ออกเช่นกัน นางลากกลับเข้าประเด็นเดิม “ท่านต้องการให้ขอบคุณอย่างไร?”
หยวนกังถามกลับ “อยากขอบคุณข้าจริงๆ น่ะหรือ?”
“แน่นอน!” ซูจ้าวพยักหน้ารับ “ขอเพียงเป็นเรื่องที่ข้าสามารถทำได้”
หยวนกังกล่าวว่า “เรือนเมฆาขาวมีชื่อเสียงเลื่องลือในเมืองหลวง แต่ข้ายังไม่เคยไปเปิดหูเปิดตามาก่อน”
“เอ่อ…” สีหน้าของซูจ้าวค่อนข้างซับซ้อน มองเขาหัวจรดเท้าพลางเอ่ยว่า “เถ้าแก่อันก็อยากไปเห็นความกระตือรือร้นของแม่นางในเรือนเมฆาขาวหรือ?”
หยวนกังกล่าวว่า “ความกระตือรือร้นของแม่นางจากเรือนเมฆาขาวข้าเคยเห็นมาแล้ว”
ซูจ้าวและฉินเหมียนมองหน้ากัน ฉินเหมียนเดินเข้ามาลองถามว่า “เถ้าแก่อันเคยไปเยือนเรือนเมฆาขาวของพวกเราหรือ?”
นางนึกแปลกใจ หากคนผู้นี้เคยไปเยือนเรือนเมฆาขาวมาแล้ว ตนจะไม่ทราบได้อย่างไร? หรือเป็นอดีตเมื่อนานมาแล้ว?
หยวนกังปฏิเสธ “ไม่เคย”
ฉินเหมียนแปลกใจยิ่งกว่าเดิม “ท่านไม่เคยไป แล้วเหตุใดถึงบอกว่าเคยเห็นมาแล้วเล่า?”
หยวนกังจ้องมองซูจ้าว “เถ้าแก่ซูก็เป็นคนของเรือนเมฆาขาวมิใช่หรือ? เถ้าแก่ซูมาหาข้าหลายครั้งแล้ว ความกระตือรือร้นของนาง ข้าเคยเห็นมาแล้ว”
สตรีทั้งสองกระจ่างขึ้นมาทันที ที่แท้ก็หมายถึงเรื่องนี้ พอกล่าวเช่นนี้แล้วกลับกลายเป็นพวกนางที่มีจิตอกุศลเอง นึกถึงเรื่องอย่างว่าของชายหญิงไปเสียได้
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นมาพูดเช่นนี้ เกรงว่าสตรีทั้งสองคงโกรธแล้ว เพราะการที่บอกว่าซูจ้าวก็คือแม่นางของเรือนเมฆาขาว คล้ายกำลังจะบอกว่าซูจ้าวนั้นขายเรือนร่างเช่นเดียวกับแม่นางคนอื่นๆ ในเรือนเมฆาขาว แต่พอวาจานี้ออกมาจากปากของหยวนกัง ทั้งสองกลับไม่รู้สึกถึงเจตนาดูหมิ่นเลย
อีกอย่างคือเรื่องที่หยวนกังเคยออกหน้าปกป้องสาวใช้ของหอคณิกาจนถูกทุบตี พวกนางก็เห็นมากับตา
ฉินเหมียนเอ่ยว่า “ความหมายของเถ้าแก่อันคืออยากไปเยี่ยมชมเรือนเมฆาขาวของพวกเราอย่างนั้นหรือ?”
หยวนกังตอบ “ใช่! ได้หรือไม่?”
ซูจ้าวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยินดีต้อนรับเป็นอย่างยิ่ง หากเถ้าแก่อันอยากไป พวกข้าก็พร้อมต้อนรับทุกเมื่อ”
หยวนกังกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าสามารถไปได้ทุกเมื่อ แต่ข้าไม่ได้หมายถึงการไปจับจ่ายใช้เงินเช่นนั้น แค่อยากจะไปเยี่ยมชมเท่านั้น”
“คิก!” ฉินเหมียนป้องหน้าหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่
ซูจ้าวก็อดกลอกตาคราหนึ่งไม่ได้เช่นกัน “ข้ารู้ว่าท่านหมายความว่าอย่างไร ไม่ได้บอกให้ท่านไปหาแม่นางเหล่านั้นเลย ข้ารู้ดีว่าท่านเพียงอยากไปเยี่ยมชม ไม่จำเป็นต้องย้ำเป็นพิเศษหรอก ที่ข้าบอกว่าพร้อมต้อนรับทุกเมื่อ ก็หมายความว่าพร้อมต้อนรับท่านไปเยี่ยมชมเรือนเมฆาขาวทุกเมื่อ”
หยวนกังมองไปในถ้วยที่อยู่บนโต๊ะพลางเอ่ยถาม “เถ้าแก่ซูกินเสร็จหรือยัง?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า