ตอนที่ 318 องค์หญิงแคว้นเยี่ยน
“ปิดประตู!” สตรีลึกลับที่เข้าไปในห้องโถงเอ่ยกระซิบสั่ง
หนิวโหย่วเต้าตะลึงงัน บุรุษสตรีอยู่ในห้องเดียวกันตามลำพังเช่นนี้จะเหมาะสมหรือ? แต่สุดท้ายก็ปิดประตูห้องโถงตามที่อีกฝ่ายบอก
ปิดประตูด้วยหรือ? พวกลิ่งหูชิวที่สังเกตการณ์อยู่ด้านนอกมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องใดกันแน่ถึงทำตัวมีลับลมคมในเช่นนี้
ภายในห้อง หนิวโหย่วเต้าไม่ทราบว่าสตรีลึกลับผู้นี้เป็นใคร ชั่วขณะนั้นจึงไม่ทราบว่าสมควรจะเรียกขานอีกฝ่ายว่าอย่างไรดี
สองมือของสตรีลึกลับยื่นออกมาจากเสื้อคลุม ยกหมวกคลุมขึ้น ค่อยๆ เลิกไปไว้ด้านหลัง เผยดวงหน้างดงามที่กระทั่งจันทร์ยังต้องหลบมวลผกายังต้องอายออกมา บุคลิกอ่อนโยนบอบบาง อายุคล้ายจะยังไม่มากนัก ดูเหมือนจะอ่อนวัยกว่าตนด้วยซ้ำ แต่หว่างคิ้วแววตากลับดูเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุจริง ซ้ำยังแผ่รัศมีความสูงศักดิ์ที่มีมาแต่กำเนิดออกมาด้วย
สตรีนางนี้ถึงแม้จะงดงาม แต่หนิวโหย่วเต้าไม่รู้จักอย่างสิ้นเชิง เขาถามด้วยความสงสัย “แม่นางคือ?”
สตรีลึกลับถามกลับ “ผู้ดูแลหลวงไม่ได้บอกท่านไว้หรือ?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “เปล่า เขาบอกเพียงว่าจะมีชาวแคว้นเยี่ยนคนหนึ่งมาพบข้า”
สตรีลึกลับเอ่ยว่า “ข้าแซ่ซาง นามว่าเสวี่ย”
ซางหรือ? ราชสกุลแห่งแคว้นเยี่ยน! หนิวโหย่วเต้าตกตะลึงไปอีกครั้ง คิดได้ว่าในเมื่อเป็นคนที่ทำให้ผู้ดูแลหลวงอย่างปู้สวินแนะนำมาเป็นพิเศษได้ อีกฝ่ายก็น่าไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน จึงถามด้วยความฉงน “ท่านคือเชื้อพระวงศ์แคว้นเยี่ยนหรือ?”
ซางเสวี่ยกล่าวว่า “สวามีของข้าคือเฮ่าหงองค์ชายรองแห่งแคว้นฉี ส่วนฮ่องเต้แห่งแคว้นเยี่ยนคือพระบิดาของข้า ข้าอภิเษกมายังแคว้นฉีได้สี่ปีแล้ว”
องค์หญิงแห่งแคว้นเยี่ยนหรือ? หนิวโหย่วเต้าผงะไป ธิดาของซางเจี้ยนสยง เช่นนั้นความสัมพันธ์ระหว่างซางเฉาจงและองค์หญิงผู้นี้ก็คือลูกพี่ลูกน้องมิใช่หรือ?
เมื่อมองจากอาภรณ์ที่อีกฝ่ายสวมใส่แล้ว ถึงแม้ตัวคนจะงดงาม แต่กลับแต่งกายด้วยอาภรณ์ของคนชั้นสูงแห่งที่ราบทุ่งหญ้า
ซางเสวี่ยเอ่ยเสริมขึ้นมาอีกว่า “ทำไม? คิดว่าไม่เหมือนอย่างนั้นหรือ?”
“เปล่าพ่ะย่ะค่ะๆ กระหม่อมคารวะองค์หญิง” หนิวโหย่วเต้าที่ได้สติกลับมารีบทำความเคารพทันที จากนั้นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เพียงคิดว่าองค์หญิงยังดูอ่อนชันษา ไม่คิดเลยว่าจะอภิเษกมายังแคว้นฉีได้สี่ปีแล้ว”
ซางเสวี่ยเอ่ยยิ้มๆ “คุณชายช่างพูดเสียจริง ข้าไม่อ่อนเยาว์แล้ว อายุสิบเก้าแล้ว เป็นมารดาที่มีบุตรสองคนแล้ว”
“…..” หนิวโหย่วเต้าพูดไม่ออก อายุสิบเก้าไม่อ่อนเยาว์แล้วอย่างนั้นหรือ? อายุสิบเก้าคลอดบุตรสองคนแล้วอย่างนั้นหรือ? ก็แปลว่าออกเรือนตั้งแต่อายุสิบห้า
เขาพยายามดึงสติกลับมาอีกครั้ง ปรับแนวคิดที่ค่อนข้างว้าวุ่นของตนให้เข้ากับยุคสมัยนี้ ยุคสมัยนี้การที่สตรีออกเรือนตอนอายุสิบห้าสิบหกดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดา ซางซูชิงที่อายุย่างยี่สิบแล้วยังไม่ออกเรือนดูเหมือนจะกลายเป็นสาวเทื้อไปเสียแล้ว
ซางเสวี่ยเอ่ยถาม “คุณชายคิดจะยืนคุยกับข้าแบบนี้อย่างนั้นหรือ?”
“หือ? โอ้! เสียมารยาทแล้ว เชิญองค์หญิงนั่งพ่ะย่ะค่ะ!” หนิวโหย่วเต้ารีบผายมือเชิญ
ซางเสวี่ยเดินไปยังที่นั่ง ค่อยๆ นั่งลง ถอนหายใจแล้วเอ่ยอย่างสะท้อนใจ “ปีที่ห้าร้อยยี่สิบตามรัชศกแคว้นอู่ แคว้นยี่ยนทำศึกกับแคว้นหาน เสด็จพ่อส่งข้ามาอภิเษกที่แคว้นฉี พริบตาเดียวก็ผ่านไปสี่ปีแล้ว จนถึงวันนี้ก็ไม่เคยได้กลับไปที่แคว้นเยี่ยนอีกเลย ทำได้เพียงคะนึงถึงมาตุภูมิเท่านั้น ไม่ทราบเช่นกันว่าตอนนี้เสด็จพ่อและท่านแม่เป็นอย่างไรบ้าง”
ท่าทางคล้ายเด็กน้อยที่เป็นผู้ใหญ่ก่อนวัยอันควร
ศึกระหว่างแคว้นเยี่ยนและแคว้นหานหรือ? หนิวโหย่วเต้าเข้าใจแล้ว องค์หญิงผู้นี้น่าจะเป็นคนที่ถูกส่งมาสมรสเชื่อมสัมพันธ์กับแคว้นฉีในตอนนั้น ได้ยินว่ายามนั้นมีองค์หญิงในราชวงศ์ถูกส่งไปสมรสเชื่อมสัมพันธ์พร้อมกันหลายคน
“องค์หญิงเสด็จมาพบกระหม่อมในวันนี้ ไม่ทราบว่ามีเรื่องใดจะสั่งการหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หนิวโหย่วเต้าถาม
ซางเสวี่ยกล่าวว่า “ท่านเป็นคนของญาติผู้พี่กระมัง? ได้ยินว่าซางเฉาจงญาติผู้พี่ของข้าเกิดความขัดแย้งกับเสด็จพ่อของข้า”
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะพลางเอ่ยว่า “นี่เป็นเรื่องในครอบครัวของพระองค์ กระหม่อมไม่ทราบกระจ่างนัก พระองค์และท่านอ๋องน่าจะรู้ดีกว่ามิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ความหมายในวาจาคือเรื่องในบ้านของพวกท่าน ตัวท่านรู้ดีที่สุด ไยต้องถามข้าอีก?
ซางเสวี่ยพยักหน้ารับพลางเอ่ยไปว่า “จะบอกว่ารู้ดีก็ไม่ได้ น่าจะเรียกได้ว่าข้าให้ความสนใจญาติผู้พี่ ทว่าญาติผู้พี่อาจจะไม่ได้สนใจข้ามากนัก มีองค์หญิงอยู่มากมายปานนั้น ญาติผู้พี่จะมาให้ความสนใจเสียทุกคนก็คงไม่ได้ ประกอบกับยามนั้นญาติผู้พี่มักจะอยู่ในกองทัพเป็นหลัก ส่วนเสด็จพ่อก็มีธิดามากมาย ข้าเป็นเพียงธิดาที่ถือกำเนิดจากพระสนมคนหนึ่ง แม้จะกล่าวว่าเป็นองค์หญิง แต่อาจจะเทียบกับธิดาของเสด็จอาหนิงอ๋องที่มีอำนาจทางการทหารอยู่ในมือไม่ได้เลยด้วยซ้ำ มีองค์หญิงมากมาย ทว่าหนิงอ๋องผู้กุมอำนาจกำลังทหารกลับมีธิดาเพียงคนเดียวเท่านั้น ผู้ใดจะสำคัญกว่ากันเพียงแค่คิดดูก็รู้แล้ว ”
“จำได้ว่าในปีนั้น ท่านแม่มักจะพร่ำเตือนข้าอยู่เสมอ บอกว่าแม้แต่เสด็จพ่อก็ยังต้องให้เกียรติเสด็จอาหนิงอ๋องอยู่สามส่วน หากข้าพบหน้าพวกญาติผู้พี่ต้องห้ามเสียมารยาท ต้องอ่อนน้อมถ่อมตนเข้าไว้ อันที่จริงก็หาใช่เพียงข้าไม่ แต่องค์หญิงที่ถือกำเนิดจากสนมหากพบหน้าพวกญาติผู้พี่ เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดกล้าทำตัวหยาบคายไม่ให้เกียรติ เสด็จอาหนิงอ๋องกุมอำนาจกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในแคว้นเยี่ยนไว้ ภายหลังเสด็จอาหนิงอ๋องประสบเหตุสิ้นบุญไป แม่ทัพเซ่าเติงอวิ๋นก็แปรพักตร์ เป็นเหตุให้แคว้นหานบุกโจมตีแคว้นเยี่ยน และเป็นเหตุที่ทำให้ข้าต้องอภิเษกมายังแคว้นฉี หากว่าเสด็จว่าหนิงอ๋องยังอยู่ เกรงว่าชะตากรรมของข้าคงแตกต่างออกไป”
ในมุมมองของหนิวโหย่วเต้า แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยแบ่งแยกคนดีและคนชั่วออกจากกันอย่างชัดเจน แต่ละคนล้วนมีจุดยืนที่แตกต่างกันออกไปในหลากหลายเรื่องราว มุมมองในการแยกแยะถูกผิดก็แตกต่างกันไปด้วย เขาพอจะเข้าใจถึงความหวาดหวั่นที่ฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนมีต่อน้องชายผู้กุมอำนาจการทหารไว้ แม้แต่ลูกเมียของฮ่องเต้ก็ยังต้องถ่อมตัวอ่อนน้อม ความรู้สึกจะเป็นเช่นไร เพียงคิดดูก็รู้แล้ว ความกังวลที่ว่านั้นพอจะเข้าใจได้เช่นกัน แต่หากมององค์ฮ่องเต้ด้วยมุมมองของพวกหนิงอ๋องพ่อลูกแล้ว คาดว่าคงรู้สึกขุ่นข้องแค้นเคืองเช่นกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า