ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 416

ตอนที่ 416 หนิวโหย่วเต้าหายตัวไป!

เจ้าบ้านและแขกผู้มาเยือนล้วนเพ่งพินิจซึ่งกันและกัน

ฝ่ายชายล้วงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วกางออก บนกระดาษคือภาพเหมือนของหนิวโหย่วเต้า หลังจากมองเทียบกับหนิวโหย่วเต้า ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้กับสตรีที่อยู่ด้านข้างแล้วเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “เป็นเขาพ่ะย่ะค่ะ!”

หนิวโหย่วเต้ามองจากเงาที่สะท้อนจากด้านหลังแผ่นกระดาษ พอจะมองออกว่าเป็นภาพเหมือน จึงอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าสนใจใคร่รู้ออกมาพลางเอ่ยถามว่า “ทั้งสองท่านเป็นใครหรือ แล้วมีธุระใดหรือ?”

ฝ่ายสตรีแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงใสกระจ่าง “ข้าพเจ้าคือโจวชิง”

หนิวโหย่วเต้าและก่วนฟางอี๋สบตากัน อดไม่ได้ที่จะเพ่งพิศดูสตรีนางนี้ตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยความสงสัย “ข้าพเจ้า? โจวชิง? โปรดอภัยให้ความรู้ที่ตื้นเขินของผู้น้อยด้วย พอจะอธิบายให้ละเอียดอีกหน่อยได้หรือไม่?”

ฝ่ายชายรีบเอ่ยแนะนำว่า “ท่านผู้นี้คือพระสนมกุ้ยเฟย”

ฝ่ายหญิงเองก็แนะนำตัวเพิ่มว่า “โจวโส่วเสียนผู้ว่าการมณฑลหนานโจวคือบิดาของข้า”

“โอ้!” ในที่สุดหนิวโหย่วเต้าก็เข้าใจแล้ว ที่แท้ก็เป็นสนมขององค์ฮ่องเต้ บุตรีของโจวโส่วเสียนเดินทางมาเขา เขาก็พอจะเดาออกแล้วว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์ใด เขาจึงหันเหสายตาไปที่ฝ่ายชายแล้วเอ่ยถามไปว่า “แล้วท่านล่ะ?”

ฝ่ายชายตอบว่า “ก่าเหมี่ยวสุย ผู้ดูแลราชรถของวังหลวง!”

“โอ้!” หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ ถึงจะไม่เคยพบคนผู้นี้ แต่เคยได้ยินเรื่องราวของคนผู้นี้ เป็นขันทีที่รับใช้ใกล้ชิดซางเจี้ยนสยงฮ่องเต้แห่งแคว้นเยี่ยน ตอนที่ซางเฉาจงบุกเข้าชิงจังหวัดชิงซาน คนผู้นี้ก็เหมือนจะเป็นตัวแทนราชสำนักมาเจรจาเช่นกัน เขาถามไปว่า “ท่านคือลูกศิษย์ของผู้ดูแลหลวงเถียนอวี่อย่างนั้นหรือ?”

“ถูกต้อง!” ก่าเหมี่ยวสุ่ยยอมรับ

หนิวโหย่วเต้าถาม “ข้าจะทราบได้อย่างไรว่าพวกท่านเป็นตัวจริง?”

ก่าเหมี่ยวสุ่ยโยนป้ายคำสั่งชิ้นหนึ่งให้ หนิวโหย่วเต้ารับไปมองเล็กน้อยแล้วโยนคืนให้ จากนั้นก็ผายมือเชิญ “แขกผู้มีเกียรติทั้งสองเชิญนั่งก่อน!”

มีเพียงโจวชิงที่นั่งลงไป ส่วนก่าเหมี่ยวสุ่ยปฏิบัติตัวตามฐานะ ยืนรวบมืออยู่ด้านข้างโจวชิง

โจวชิงล้วงพู่หยกชิ้นหนึ่งออกมา วางลงบนโต๊ะแล้วดันไปไว้เบื้องหน้าหนิวโหย่วเต้า “มีคนมอบหมายให้ข้าเป็นตัวแทนมาทักทายฝ่าซือ บอกว่าเมื่อฝ่าซือเห็นก็จะทราบว่าเป็นผู้ใด”

หนิวโหย่วเต้ามองมือเรียวงามของนางก่อนครู่หนึ่ง สังเกตเห็นว่ามือของสตรีนางนี้งดงามจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบโฉมงามที่มีมือเรียวงามน่ามองขนาดนี้ มองเพียงครู่เดียวก็สลักลึกลงในความทรงจำแล้ว จากนั้นจึงหันเหความสนใจไปยังพู่หยก รับไปมองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มแล้วส่ายศีรษะเล็กน้อย

เขามีพู่หยกชิ้นหนึ่งที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วอยู่ หากนำมาประกบกันสองฝั่งซ้ายขวาก็น่าจะเข้าคู่กันได้พอดี

ก็เหมือนที่อีกฝ่ายบอกไว้ พอเห็นพู่หยกเขาก็คาดเดาได้ทันทีว่าคนที่ต้องการทักทายเขาคือผู้ใด เขาพยักหน้าพลางเอ่ยไปว่า “คงต้องรบกวนกุ้ยเฟยช่วยทักทายหลิวกุ้ยเฟยแทนกระหม่อมด้วย” เขาดันพู่หยกคืนให้

หลิวกุ้ยเฟยที่เขากล่าวถึงก็คือมารดาของซางเสวี่ยพระชายาอวี้อ๋องแห่งแคว้นฉี ยามที่เขาอยู่แคว้นฉี เพื่อผลักดันให้เกิดสันติภาพแล้ว ซางเสวี่ยได้มอบของสิ่งหนึ่งให้เขาเพื่อให้เขาใช้ติดต่อกับทางเมืองหลวงแคว้นเยี่ยน นั่นก็คือพู่หยกที่เข้าคู่กันชิ้นนี้

เมื่อเห็นพู่หยกนี้ เขาก็ยิ่งแน่ใจในเจตนาการมาเยือนของอีกฝ่าย

โจวชิงเอ่ยว่า “คาดว่าฝ่าซือน่าจะทราบจุดประสงค์ในการมาของข้าพเจ้าแล้ว”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “พอจะเดาออกเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ”

โจวชิงกล่าวว่า “องค์หญิงแจ้งข่าวให้ทางนี้ทราบแล้ว บอกว่าตอนอยู่ที่เมืองหลวงแคว้นฉี ฝ่าซือรับปากนางไว้ว่าจะพยายามสร้างความปรองดองระหว่างฝ่าบาทและยงผิงจวิ้นอ๋อง พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการปะทะกันระหว่างพวกเขาลุงหลาน ไม่ทราบว่ามีเรื่องเช่นนี้จริงหรือไม่?”

หนิวโหย่วเต้าลูบคาง ตระหนักได้ว่าเรื่องนี้ทั้งซับซ้อนแล้วก็เรียบง่าย สัญลักษณ์ยืนยันตัวตนอยู่กับทางหลิวกุ้ยเฟย แต่หลิวกุ้ยเฟยไม่ได้มา ผู้ที่มากลับเป็นโจวกุ้ยเฟยเพียงคนเดียว เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะเรื่องสงครามพัวพันไปถึงโจวโส่วเสียนผู้เป็นบิดาของโจวกุ้ยเฟย แล้วก็พอจะเข้าใจได้เช่นกันว่าทันทีที่โจวโส่วเสียนพ่ายศึก ทางซางเจี้ยนสยงและราชสำนักไม่มีทางยอมรับผิดชอบในเรื่องนี้ พวกเขาจะต้องหาคนมารับผิดชอบแทนแน่นอน ซึ่งก็เหลือเพียงโจวโส่วเสียนผู้พ่ายศึกที่ต้องมาแบกรับความผิดแทน เขาพอจะนึกภาพออก ทันทีที่กุ้ยเฟยกลายเป็นบุตรีของขุนนางต้องโทษ เกรงว่าชีวิตภายในวังหลวงของโจวกุ้ยเฟยคนนี้คงลำบากแล้ว ความสัมพันธ์ของสองพ่อลูกคือการพึ่งพาซึ่งกันและกัน

เพียงแต่เมื่อมองจากสถานการณ์ในปัจจุบันนี้ โจวโส่วเสียนผู้มีกองกำลังของแคว้นหนุนหลังอยู่กลับไม่มีความมั่นใจในการทำศึกเลย

ฝ่ายซางเสวี่ยส่งจดหมายมาขอให้เขาช่วยจัดการอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้โจวกุ้ยเฟยก็มาหาเขาอีก เห็นได้ชัดว่าสตรีทั้งสองต้องการให้แผ่นดินเยี่ยนเกิดสันติ

เขามั่นใจว่าการมาเยือนของโจวกุ้ยเฟยคนนี้ได้รับอนุญาตจากซางเจี้ยนสยงผู้เป็นฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนแล้ว มิเช่นนั้นพระสนมผู้สูงศักดิ์คนหนึ่งจะออกจากวังมาอย่างเงียบเชียบปานนี้ได้อย่างไร ทั้งยังมีผู้ดูแลราชรถของวังหลวงร่วมเดินทางมาด้วยอีก หากไม่ได้รับอนุญาตจากซางเจี้ยนสยงสิถึงจะแปลก

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้า “เรื่องเป็นเช่นนั้นจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”

โจวชิงยิ้มเล็กน้อย เอ่ยไปว่า “ฝ่าซือจดจำได้ก็ดีแล้ว”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “จดจำได้ ไม่มีทางลืมพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมก็ไร้ความสามารถจะจัดการเรื่องนี้ได้เช่นกัน”

โจวชิงเอ่ยว่า “กระทั่งฮ่องเต้แคว้นฉียังให้การยอมรับ ไยฝ่าซือต้องถ่อมตัวอีก ราชสำนักจับตามองสถานการณ์ของทางนี้มาโดยตลอด จากการวิเคราะห์ของราชสำนัก ฝ่าซือมีอิทธิพลต่อยงผิงจวิ้นอ๋องอย่างมากทีเดียว ขอเพียงฝ่าซือยอมใช้อิทธิพลในส่วนนี้ สงครามครั้งนี้ก็ยากจะเกิดขึ้นได้ ทันทีที่เกิดสงคราม ราษฎรไม่เพียงแต่จะต้องพลอยตกทุกข์ได้ยากไปด้วย อีกทั้งยงผิงจวิ้นอ๋องและฝ่าบาทก็เป็นลุงหลานกัน ยิ่งไปกว่านั้นคือผลประโยชน์ใหญ่หลวงที่สุดจากสงครามหาได้ตกอยู่ที่ยงผิงจวิ้นอ๋องไม่ แต่ไปตกอยู่กับสำนักหยกสวรรค์แทน ไยต้องทำเรื่องโง่เขลาห้ำหั่นกับญาติร่วมสายเลือดเพื่อให้คนนอกได้ผลประโยชน์ด้วย?”

หนิวโหย่วเต้าขบขันอยู่ในใจ ตอนนี้รู้จักคำว่าญาติร่วมสายเลือดแล้วอย่างนั้นหรือ แล้วแต่ก่อนคนที่บีบคั้นซางเฉาจงจนหมดหนทางเป็นผู้ใดกันเล่า?

เขาส่ายหน้าเล็กน้อยเอ่ยไปว่า “ในเมื่อพระสนมทราบเรื่องสำนักหยกสวรรค์แล้ว เช่นนั้นพระสนมก็น่าจะรู้นะพ่ะย่ะค่ะว่าห้าจังหวัดตอนล่างของมณฑลหนานโจวมิได้อยู่ภายใต้การดูแลของท่านอ๋อง ท่านอ๋องดูแลเพียงสองในห้าจังหวัดเท่านั้น ไพร่พลเกือบหกแสนนายก็อยู่ในบังคับบัญชาของท่านอ๋องเพียงสองแสนนายเท่านั้น”

โจวชิงกล่าวว่า “ขอเพียงท่านอ๋องยอมหลีกเลี่ยงสงคราม ไม่ว่าจะเป็นทางสำนักหยกสวรรค์ หรือว่าผู้แปรพักตร์ทั้งสามอย่างเหมยหลินเซิ่ง อู๋เทียนตั้งและจ้าวซิงเฟิงก็ไม่มีค่าพอให้กังวลเลย!”

หนิวโหย่วเต้าถามด้วยความสนใจ “ยงผิงจวิ้นอ๋องมีอำนาจน่าเกรงขามถึงเพียงนั้นเชียวหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

โจวชิงตอบว่า “บิดาข้าเคยอยู่ใต้บังคับบัญชาของเหมิงซานหมิงมาก่อน จึงทราบดีว่าชื่อเสียงในฐานะยอดขุนพลของเหมิงซานหมิงหาใช่ชื่อเสียงเลื่อนลอยไม่ หนิงอ๋องเรืองอำนาจขึ้นมาได้ก็เพราะความช่วยเหลือของเหมิงซานหมิง เดิมทีคิดว่าเหมิงซานหมิงสิ้นชีพไปนานแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะแอบซ่อนตัวมาโดยตลอด ทั้งยังออกจากหุบเขามาติดตามยงผิงจวิ้นอ๋องอีก มิใช่แค่เรื่องนี้เท่านั้น ถ้าว่ากันในแง่ของกำลังทหารเพียงอย่างเดียว เมื่อผู้แปรพักตร์ทั้งสามคนนั้นต้องการจะก่อสงคราม หากปราศจากกำลังทหารสองแสนนายของยิงผิงจวิ้นอ๋องไป แรงกดดันของบิดาข้าก็จะลดลงไปอย่างมากด้วยเช่นกัน”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า