ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 554

ตอนที่ 554 เก็บบุปผา

หากไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ โซ่วเหนียนก็ลืมไปแล้วจริงๆ เมื่อเอ่ยถึงย่อมนึกขึ้นได้เช่นกัน เขาเคยพบหนิวโหย่วเต้าอยู่ไม่กี่ครั้ง แต่ครั้งแรกกลับฝังลึกอยู่ในความทรงจำเป็นพิเศษ

นั่นคือครั้งแรกที่หนิวโหย่วเต้าไปเยือนตระกูลเฟิ่ง ณ จังหวัดกว่างอี้ ช่วงที่ไปเป็นตัวแทนสู่ขอให้ซางเฉาจง เฟิ่งรั่วหนานลงมือด้วยความมีน้ำโหทว่าถูกหยวนกังขวางไว้ เฟิ่งรั่วหนานเอาชนะหยวนกังไม่ได้ เขาจึงสอดมือเข้าแทรกแซง ซัดฝ่ามือใส่หยวนกังไปทีหนึ่ง

ตอนนั้นไม่ได้คิดจะเอาชีวิตหยวนกังเลย แต่แอบลงมือรุนแรงไปเล็กน้อย ต่อให้ไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัส มีเจตนาจะสั่งสอนบทเรียนให้อีกฝ่าย

ผู้ใดจะทราบว่าผลลัพธ์กลับค่อนข้างผิดคาด ตนแอบลงมือจู่โจมอีกฝ่าย แต่กลับหยวนกังต้านทานเอาไว้ได้ ตอนนั้นก็ค่อนข้างตกใจในความสามารถต้านทานการโจมตีของกายเนื้อของหยวนกังเช่นกัน ดังนั้นจึงจดจำได้ดี

อีกทั้งจดจำสายตาอาฆาตแค้นของหนิวโหย่วเต้าในตอนนั้นที่เอ่ยถามเขาว่า ‘ตาเฒ่า หน่ายจะมีชีวิตอยู่แล้วหรือ?’

จากนั้นก็เอ่ยเตือนเขาว่า ‘ตาเฒ่า ข้าจะจดจำฝ่ามือนี้ไว้ วันหน้าหากมีโอกาสจะให้เจ้าได้ลิ้มรสฝ่ามือของข้าดูเช่นกัน’

ตอนนั้นเขาตอบไปว่า ‘แล้วบ่าวเฒ่าจะเฝ้าคอย!’

ตอนนั้นไม่คิดเป็นจริงเป็นจังเลยจริงๆ ในช่วงเวลานั้นไม่ว่าจะเป็นซางเฉาจงหรือว่าหนิวโหย่วเต้าก็ล้วนไม่อยู่ในสายตาเขาเลย เขาคิดเพียงแต่ว่าอีกฝ่ายเพียงพูดจาอวดดีเพื่อหาทางลงให้ตัวเองก็เท่านั้น

พริบตาเดียวก็ผ่านมาหลายปีแล้ว พอนำทั้งสองฝ่ายในปีนั้นมาเปรียบเทียบกันอีกครั้ง โซ่วเหนียนได้แต่นึกทอดถอนใจ รู้ดีว่าอีกฝ่ายเอ่ยถึงเรื่องนี้เพราะถึงเวลาทวงบัญชีในวันวานแล้ว เขาจึงพยักหน้าตอบรับ “จำได้!”

เผิงอวี้หลานก็จำเรื่องนี้ได้เช่นกัน ตอนนั้นเป็นนางเองที่ส่งสัญญาณให้โซ่วเหนียนลงมือ จึงรีบเอ่ยแก้ต่างว่า “หนิวโหย่วเต้า เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับพ่อบ้านเลย เป็นคำสั่งของข้า…”

หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า “ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้มากความ แล้วแต่พวกเจ้าแล้วกัน ข้าไม่บังคับ”

หยวนกังไม่ได้อยู่ด้วย ก่วนฟางอี๋ที่ฟังอยู่ด้านข้างสงสัยขึ้นมา ติดค้างหนึ่งฝ่ามืออะไรกัน? นางไม่ทราบถึงเรื่องราวในอดีตที่ซ่อนอยู่

โซ่วเหนียนกล่าวว่า “หากเจ้าสามารถช่วยคุณหนูได้ บ่าวเฒ่าก็ยินดีให้เจ้าเอาคืนหนึ่งฝ่ามือนั้น”

เผิงอวี้หลานเอ่ยอย่างไม่สบายใจ “โซ่วเหนียน!”

โซ่วเหนียนยิ้มน้อยๆ “ฮูหยิน ไม่เป็นไรขอรับ”

หนิวโหย่วเต้าก็ไม่พูดไร้สาระอีก ลุกขึ้นเดินไปหยุดตรงหน้าโซ่วเหนียน ผัวะ! ซัดฝ่ามือเข้าใส่ทรวงอกของโซ่วเหนียน จากนั้นก็หันหลังกลับพร้อมเอ่ยทิ้งท้ายคำหนึ่งแล้วเดินจากไป “ส่งแขก!”

ฝ่ามือนั้นไม่รุนแรงมากนัก โซ่วเหนียนยืนนิ่งอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย

เผิงอวี้หลานถอนหายใจอย่างโล่งอก นึกว่าหนิวโหย่วเต้าเพียงทำไปพอเป็นพิธี ด้วยสภาวะของโซ่วเหนียนน่าจะรับฝ่ามือเดียวได้สบายๆ

ซึ่งฝ่ามือนี้ของหนิวโหย่วเต้าเท่ากับเป็นการตอบรับคำพูดของโซ่วเหนียนแล้ว ตกลงว่าจะช่วยเหลือ ทำให้เผิงอวี้หลานมีความหวังขึ้นมา

ทว่ากระทั่งพวกเขาสามคนออกจากคฤหาสน์บนเขามา แข้งขาโซ่วเหนียนพลันอ่อนยวบ ร่างส่ายโงนเงนเล็กน้อย

ผู้ติดตามอีกคนรีบยื่นมือเข้าไปช่วยประคองไว้ จากนั้นก็พบว่าร่างกายของโซ่วเหนียนสั่นสะท้านเบาๆ จึงเอ่ยด้วยความตกใจว่า “เป็นอะไรไป?”

เผิงอวี้หลานหันมามอง สังเกตเห็นเช่นกันว่าสีหน้าโซ่วเหนียนผิดปกติไป ซีกหนึ่งแดงซีกหนึ่งขาว จึงยื่นมือไปช่วยประคองเช่นกัน พร้อมกับเอ่ยถามด้วยความตกใจ “เป็นอะไรไป?”

โซ่วเหนียนที่ฝืนประคองตัวเดินออกมาจากคฤหาสน์รู้สึกเพียงว่าร่างกายซีกหนึ่งของตนเสมือนจมอยู่ในโพรงน้ำแข็ง ส่วนร่างกายอีกซีกหนึ่งคล้ายถูกย่างอยู่บนกองเพลิง พลังที่ต่างกันสองขั้วพลุ่งพล่านอยู่ในร่างกาย ทำลายสมดุลพลังปราณของเขา เขาเอ่ยเสียงสั่นว่า “เป็นฝ่ามือที่ทรงพลังนัก! พาข้าลงเขาไปเสาะหาสถานที่เงียบสงบสักแห่งเพื่อปรับลมปราณที”

เผิงอวี้หลานและผู้ติดตามคนนั้นกระจ่างในทันที ฝ่ามือนั้นของหนิวโหย่วเต้าดูเหมือนจะธรรมดา แต่ความจริงแล้วกลับมีลูกเล่นแฝงอยู่

ผู้ติดตามอีกคนพลันยื่นมือไปคว้าแขนเผิงอวี้หลาน อีกมือจับโซ่วเหนียนไว้ ทะยานลงเขาไปอย่างรวดเร็ว

เหลยจงคังที่ออกมาส่งแขกได้เห็นฉากที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย เขาค่อนข้างจะเข้าใจถึงความรู้สึกของโซ่วเหนียน พอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ภายในคฤหาสน์ ก่วนฟางอี๋ติดตามอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้า ซักถามด้วยความอยากรู้อย่างเห็น “หนึ่งฝ่ามือที่พ่อบ้านคนนั้นติดค้างเจ้าไว้มันเรื่องอะไรกัน?”

“ก็ไม่มีอะไร ในอดีตเขาเคยซัดเจ้าลิงหนึ่งฝ่ามือ ข้าเคยบอกไว้แล้วว่าจะเอาคืน”

“เฮอะๆ จดจำใส่ใจมาตลอดยังจะบอกว่าไม่มีอะไรอีกหรือ? เจ้านี่ช่างเจ้าคิดเจ้าแค้นเสียจริง”

หนิวโหย่วเต้าไม่คิดจะอธิบายอีก เรื่องนั้นผ่านไปแล้ว แล้วก็ไม่ถึงกับเจ้าคิดเจ้าแค้นอันใด จดจำความแค้นนี้กับโซ่วเหนียนไปก็ไม่ได้มีประโยชน์อันใด

แต่เรื่องบางเรื่องมันก็ยังคงต้องให้ความสำคัญอยู่ หากตอนนั้นคนที่โดนฝ่ามือคือเขา เรื่องมาถึงวันนี้แล้ว เขาเองก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้อีก แต่คนที่โดนคือหยวนกัง เขาต้องมอบคำอธิบายให้พวกพ้องของตน

เขาลงมืออย่างมีขอบเขต ฝ่ามือนั้นไม่ถึงขั้นจะเอาชีวิตโซ่วเหนียน แต่ทำให้โซ่วเหนียนต้องรับรู้ถึงความทรมานเล็กน้อยอย่างไม่อาจเลี่ยงได้…

….

ไม่กี่วันให้หลัง หลังจากได้รับข่าวจากสำนักเขามหายาน เมื่อคำนวณระยะเวลาโดยประมาณที่หวงเลี่ยจะเดินทางมาถึงจวนผู้ว่าการมณฑลหนานโจวแล้ว ทางนี้ก็ออกเดินทางเช่นกัน

สามเจ้าสำนักก็พาคนมุ่งหน้าไปพร้อมกัน สำนักหยกสวรรค์ไปแล้ว ผลประโยชน์ในมณฑลหนานโจวจะต้องถูกจัดสรรกันใหม่ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้ตัดสินเอาเองได้ สามสำนักย่อมต้องเข้าไปมีส่วนร่วมและเป็นพยานด้วย

วิหคยักษ์สี่ตัวบินออกจากคฤหาสน์กระท่อมฟางแห่งนี้ไปพร้อมกัน

เหินลอยรับลมอยู่กลางอากาศสูง ทอดมองผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล สามเจ้าสำนักพูดคุยยิ้มหัวเราะไปตลอดทาง รู้สึกสะท้อนใจอย่างยิ่ง เป็นครั้งแรกที่ได้ดื่มด่ำกับความรู้สึกเช่นนี้

หลังจากโบยบินเดินทางมายาวนาน กระทั่งวิหคยักษ์ทั้งสี่ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศเหนือจวนผู้ว่าการมณฑลหนานโจว ก็ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรภายในเมืองตกใจทะยานขึ้นมาตั้งท่าระวังอยู่เหนือหลังคา

กระทั่งได้รับการยืนยันแน่ชัดว่าเป็นพวกเดียวกัน วิหคก็ร่อนโฉบลงในสวนบุปผา ผู้อาวุโสหวงทงแห่งสำนักเขามหายานที่ประจำการดูแลที่นี่อยู่ในขณะนี้ได้ออกมาทักทายหนิวโหย่วเต้า

เรื่องบุญคุณความแค้นเหล่านั้นในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ผ่านพ้นไปแล้ว ปัจจุบันนี้ อย่างน้อยๆ ก็ในเวลานี้ สำนักเขามหายานยังไม่ได้ลงหลักปักฐานในมณฑลหนานโจวอย่างมั่นคง จำเป็นต้องสมานฉันท์กับหนิวโหย่วเต้าเอาไว้

หวงเลี่ยยังมาไม่ถึง คาดว่าจะมาถึงในช่วงสายวันพรุ่ง ทางหนิวโหย่วเต้าก็ตั้งใจมาถึงก่อนเพื่อรอต้อนรับเป็นการให้เกียรติหวงเลี่ย

จากนั้นหนิวโหย่วเต้าก็แนะนำหวงทงต่อพวกเฟ่ยฉางหลิว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า