ตอนที่ 92 เทพพิทักษ์
“อีกฝ่ายคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่นี่ น่าจะอยู่ที่นี่มานานพอดู” หยวนกังเอ่ยเตือน
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้านิดๆ สื่อว่าเห็นด้วย พื้นที่บางจุดของที่นี่ถูกธารน้ำกัดเซาะจนมีสภาพคล้ายเขาวงกต หากทางนี้ไม่มีซางซูชิงคอยนำทางก็ยากจะแยกแยะได้ ถ้าอีกฝ่ายไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่นี่ย่อมยากจะตามหาตำแหน่งคลังคบเพลิงแล้วลงมือทำลายได้ เขาหันไปถามซางซูชิงที่อยู่ด้านหลัง “ท่านหญิง คนที่เคยลงมาก่อนหน้าไม่พบสิ่งผิดปกติอันใดบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางซูชิงตอบตามที่ทราบ “ไม่เคยได้ยินเลย น่าจะไม่มี”
หนิวโหย่วเต้าถามต่อ “ที่นี่ไม่ได้ถูกใช้งานมานานแค่ไหนแล้วพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางซูชิงยังคงตอบตามจริง “ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน แต่อย่างน้อยๆ หลังจากเกิดเรื่องขึ้นกับเสด็จพ่อและราชสำนักทำการกวาดล้าง สถานที่บางแห่งก็ถูกทิ้งร้างเอาไว้ ไม่เคยเปิดใช้งานอีก”
ทั้งสามคนเข้าใจแล้ว พูดอีกอย่างก็คืออีกฝ่ายอาจจะอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว เป็นไปได้ว่าจะคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของที่นี่เป็นอย่างดี ส่วนอีกฝ่ายเข้ามาจากทางไหนนั้น ดูแล้วไม่แน่ว่าจะเป็นทางเข้าที่ฝ่ายหนิงอ๋องจัดทำขึ้นมา เส้นทางใต้ดินที่ยาวขนาดนี้ ผู้ใดจะกล้ารับประกันว่าจะไม่มีช่องทางอื่นอยู่อีก
หนิวโหย่วเต้าเงียบไปสักพัก จากนั้นเอ่ยว่า “อันที่จริงไม่มีอะไรน่ากังวลเลย ความสามารถของอีกฝ่ายน่าจะมีจำกัด มิเช่นนั้นคงบุกเข้ามาหาพวกเราตรงๆ แล้ว ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ พวกเราอย่าให้อีกฝ่ายจูงจมูกได้ก็พอ มิเช่นนั้นหากพวกเราวิ่งหนีจนเป็นฝ่ายอ่อนล้าหมดแรงไปเอง แบบนั้นกลับจะถูกอีกฝ่ายจัดการได้ง่ายๆ พวกเราต้องสุขุมเข้าไว้ อย่าปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นฝ่ายอ่อนแอ” พูดจบก็ปล่อยซางซูชิงลงจากหลัง พยักเพยิดหน้าส่งสัญญาณ “เจ้าหมี ไปงมคบเพลิงในแม่น้ำมา”
หยวนฟางเอ่ยด้วยความฉงน “จุดไม่ติดแล้ว จะเอามาใช้อันใดได้ขอรับ?”
หยวนกังตวาดใส่ทันที “พล่ามอันใดกัน เต้าเหยี่ยสั่งให้เจ้าทำ เจ้าแค่ทำตามก็พอ!”
หยวนฟางหัวเราะแห้งๆ อย่างไรก็ตามกลับเห็นว่าแสงไฟจากคบเพลิงในมืออ่อนลงแล้ว ส่วนหยวนกังก็ปลดสัมภาระห่อหนึ่งที่อยู่บนตัวลงมา วางลงบนพื้นแล้วแกะออก จากนั้นโยนหัวคบเพลิงที่หักมาให้เขาอันหนึ่ง ถึงแม้ด้ามจะสั้นไปหน่อย แต่ก็ยาวพอให้ถือไว้ในมือได้
หยวนฟางตะลึงไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่าหยวนกังไปเตรียมหัวคบเพลิงมากมายขนาดนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อไร จากนั้นมองไปทางหนิวโหย่วเต้าที่ไม่มีท่าทีแปลกใจเลยแม้แต่เลย คล้ายว่านี่เป็นเรื่องปกติธรรมดา จึงนึกเลื่อมใสในตัวสองคนนี้ อุทานอยู่ในใจ สองท่านนี้ช่างร้ายกาจนัก แม้แต่เรื่องนี้ก็เตรียมการไว้พร้อมแล้ว หรือจะคาดเดาได้ล่วงหน้าว่าอีกฝ่ายคิดจะเล่นลูกไม้กับคบเพลิง?
แต่เรื่องนี้เขาคิดมากไปเอง ก่อนหน้านี้หนิวโหย่วเต้าเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าอีกฝ่ายจะทำลายคบเพลิง เพราะเขายังไม่ทราบถึงสถานการณ์ของฝ่ายศัตรู ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีเจตนาร้ายหรือไม่ เพียงแต่หลังจากที่พบถึงความผิดปกติ ผนวกกับสภาพแวดล้อมที่ตนเองอยู่ในเวลานี้ ในฐานะที่เป็นผู้ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน สิ่งแรกที่เขานึกขึ้นมาได้คือการตัดปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เมื่ออยู่ในที่มืด ปัญหาสำคัญอันดับแรกคือแสงสว่าง เขาจึงตัดสินใจทำการควบคุมปัญหาข้อนี้เอาไว้เป็นอันดับแรก กันไว้ดีกว่าแก้ก็เท่านั้น!
ก่อนหน้านี้ซางซูชิงหลับลึก ไม่ทราบเช่นกันว่าหยวนกังไปจัดเตรียมคบเพลิงมากมายขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหน ค่อนข้างแปลกใจเช่นกัน
หลังจากหยวนฟางจุดคบเพลิงอีกอัน เขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องแสงสว่างแล้ว ทะยานไปทางแม่น้ำเริ่มปฏิบัติหน้าที่ เมื่อพบคบเพลิงที่ลอยมาตามน้ำก็จะคว้าขึ้นมาโยนขึ้นฝั่งทันที
และจากจุดนี้ก็ทำให้มองออกว่าอีกฝ่ายคอยทำลายคลังเก็บคบเพลิงตามรายทางอย่างต่อเนื่อง คิดจะทำให้ฝ่ายนี้ตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบอย่างสิ้นเชิง
หนิวโหย่วเต้าหยิบกระบี่มาจากซางซูชิง นำมายันไว้ตรงหน้า จากนั้นก็ยิ้มให้ซางซูชิงพลางเอ่ยว่า “พระองค์เองก็เหนื่อยแล้ว ก่อนหน้านี้นอนได้ไม่นานก็ปลุกพระองค์ขึ้นมาเสียแล้ว พักผ่อนต่อเถอะพ่ะย่ะค่ะ ไม่เกิดเรื่องขึ้นแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
ซางซูชิงส่ายหน้า เกิดสถานการณ์ไม่คาดฝันขึ้นเช่นนี้ นางจะหลับลงได้อย่างไร จึงนั่งพิงผนังหินด้านข้าง มองสำรวจรอบข้างเป็นระยะๆ
หยวนกังเก็บหัวคบเพลิงที่สะพายมาไว้สำรองใช้สองอัน ส่วนที่เหลือทั้งหมดถูกกองสุมกันแล้วจุดไฟ หลังจากเปลวเพลิงลุกโชติช่วงขึ้นมา ก็นำคบเพลิงที่ใกล้จะดับมอดแล้วโยนเข้าไปใช้ต่างฟืน จากนั้นก็รวบรวมคบเพลิงเปียกที่ถูกโยนขึ้นฝั่งมากองรวมกัน โยนเข้ากองไฟทั้งที่ยังเปียกๆ อยู่ เผาใช้ต่างฟืน
หลังจากนั้นก็รวบรวมคบเพลิงเปียกมาอีกกองหนึ่ง จัดวางไว้ข้างกองเพลิงผิงไฟเอาไว้ ยุ่งง่วนอยู่คนเดียว
หลังจากหยวนฟางที่วิ่งกลับไปกลับมาอยู่บนผิวน้ำเห็นภาพนี้ เขาพลันกระจ่างขึ้นมาทันที ในที่สุดก็เข้าใจจุดประสงค์ของหนิวโหย่วเต้าที่ให้เขางมคบเพลิงเปียกขึ้นมา ใจที่กระสับกระส่ายพลันสงบลง งมคบเพลิงขึ้นมาจากแม่น้ำอย่างขะมักเขม้น โยนกลับขึ้นฝั่งไปทีละอันๆ
หนิวโหย่วเต้ายืนตัวตรง ยืนค้ำกระบี่อยู่ข้างกองไฟ กวาดตามองไปรอบๆ ด้วยสายตาเยือกเย็น
ซางซูชิงที่นั่งกอดเข่าอยู่ด้านข้างเห็นสถานการณ์ในยามนี้ย่อมเข้าใจแล้วว่าเขากำลังทำอะไรกัน เมื่อเห็นทางนี้เตรียมการกันอย่างเป็นระบบระเบียบ นางก็สบายใจขึ้นไม่น้อย จากนั้นก็มองเงาร่างที่ค้ำกระบี่ยืนคุมเชิงอยู่ข้างกองไฟตามลำพัง รู้สึกเหมือนเขาเป็นเทพพิทักษ์ของนาง และเป็นเทพพิทักษ์ของทุกคน เมื่อมีเทพพิทักษ์องค์นี้คุมเชิงอยู่ ราวกับไม่มีอุปสรรคใดจะมากล้ำกรายพวกเขาได้ ทำให้นางรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
หลังจากเข้าใจแล้วว่าพวกเขากำลังทำอะไร ซางซูชิงก็ลุกขึ้นมา นั่งลงข้างกองไฟเช่นเดียวกับหยวนกัง ช่วยตากคบเพลิงที่เปียกชื้นเหล่านั้น ถือว่าช่วยเหลือเท่าที่จะช่วยได้
หนิวโหย่วเต้าที่ยืนค้ำกระบี่เพียงเหลือบมองนางแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร สมาธิจดจ่ออยู่กับการสังเกตการณ์รอบข้างอีกครั้ง
จนกระทั่งคบเพลิงเปียกที่อยู่บนฝั่งกองสุมเป็นเนินขนาดย่อมแล้ว ในตอนที่หยวนฟางกลับมาเปลี่ยนคบเพลิงอีกครั้ง หนิวโหย่วเต้าจึงสั่งว่า “เจ้าหมี พอแล้ว เจ้าไปกินอะไรสักหน่อย แล้วไปพักผ่อนก่อน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า