“เสด็จอาเขยเพคะ คนรูปงามของตระกูลลู่อยู่ที่ใดหรือเพคะ”
ดวงตาของฉู่เฟยชิงฉ่ำวาวนัก พร้อมกับมีความเย่อหยิ่งและเจ้าเล่ห์ปนอยู่ด้วย หลังจากกวาดสายตามองฝูงชนแล้วหนึ่งรอบ นางก็มองไปทางฮ่องเต้แห่งโฮ่วจิ้นอย่างผิดหวัง
เพียงแต่ ทันทีที่นางพูดจบ บรรยากาศภายในท้องพระโรงก็ดูแปลกไปเล็กน้อย
ความงามของลู่เจี้ยเป็นที่ประจักษ์ของคนทั้งโลก
แน่นอนว่าการพูดจาไร้ยางอายเฉกเช่นองค์หญิงน้อยนั้น มิใช่ทุกคนจะทำได้ เพราะคนของตระกูลลู่แห่งซูหนานก็นั่งอยู่ด้วยเช่นกัน
คนที่เข้าร่วมงานเลี้ยงของราชสำนักจำนวนไม่น้อยเลย ทุกคนต่างสบตากันและดูการแสดงละครสดอย่างเงียบๆ
ฮ่องเต้ต่อกรกับตระกูลลู่มานานหลายปี ครานี้อาจจะเป็นหมากรุกอีกตาหนึ่งก็เป็นได้ พวกเขาไม่ควรลุยในน้ำโคลนจะดีที่สุด
ขณะเดียวกัน เจียงหลีและพระชายาลู่ซึ่งอยู่ในท้องพระโรงด้วยเช่นกัน พอได้ฟังคำพูดของฉู่เฟยชิงแล้ว สีหน้าของทั้งสองก็เย็นยะเยือกขึ้นทันที คำพูดที่เหยียดหยามเช่นนั้น ช่างทำให้ผู้คนไม่ชอบใจเสียจริงๆ
“จะบังอาจมากเกินไปแล้ว! บุตรชายของข้าเป็นถึงนายน้อยแห่งตระกูลลู่ แต่คำพูดของนางกลับทำให้ดูเหมือนนักแสดงงิ้วก็ไม่ปาน” พระชายาลู่กำผ้าเช็ดหน้าที่ทำจากผ้าไหมในมือแน่นและแววตาเย็นเยือก
เจียงหลียังคงจ้องมององค์หญิงน้อยแห่งรัฐฉู่ด้วยสายตาเย็นชา นางไม่รู้ว่าองค์หญิงมีเจตนาหรือไม่ได้มีเจตนาก็ตาม แต่สำหรับลู่เจี้ยแล้ว นี่คือความอัปยศอดสูประเภทหนึ่ง
“ฮ่าๆ ชิงชิงอย่ากังวลไป อีกสักครู่เจ้าก็ได้พบกับคนรูปงามแห่งตระกูลลู่แล้ว” โฮ่วจิ้นฮ่องเต้มู่เจิ้งเฟิงกลับยิ้มอย่างไม่ใส่ใจพร้อมกับปลอบใจองค์หญิงน้อย
หญิงงามที่อยู่ข้างๆ เขา ฉุนกุ้ยเฟยกำลังกวักมือเรียกฉู่เฟยชิงว่า “ชิงชิง มาหาข้ามา”
พอทั้งสามคนนั่งลงแล้ว ทุกคนในท้องพระโรงต่างร้องเรียกด้วยเสียงที่ดังว่าขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี ถึงจะนั่งลงได้
ตัวแสดงหลักนั่งลงแล้ว การแสดงทั้งร้องเพลงและร่ายรำก็ค่อยๆ ทยอยเข้ามา ซึ่งงานเลี้ยงของราชสำนักได้เริ่มขึ้นแล้ว แต่กลับไม่เห็นใบหน้าของลู่เจี้ยเลย
เจียงหลีนั่งอยู่ด้านข้างของพระชายาลู่และรับรู้ได้ถึงอารมณ์ที่คมเหมือนใบมีดพัดโชยมาจากร่างกายของนาง ลมหายใจเช่นนี้ แพร่ความรู้สึกไปสู่นาง ทำให้นางเห็นใจกับสถานการณ์ที่ลู่เจี้ยเผชิญอยู่อย่างมาก
นางมองไปที่ทางเข้าของตำหนักบุปผา ภายในท้องพระโรงคึกคักนัก แต่ด้านนอกกลับเย็นเยือก
ลู่เจี้ยถูกเชิญให้ไปรอที่ตำหนักข้างๆ ก่อน เพียงเพื่อรอเวลาที่เหมาะสมที่สุด จากนั้นค่อยเดินเข้ามาภายใต้สายตาทุกคู่ที่จับจ้อง เพื่อจะให้องค์หญิงน้อยชื่นชมอย่างนั้นหรือ อารมณ์โกรธอย่างไม่ทราบสาเหตุได้ปรากฎออกมาจากหัวใจของเจียงหลีและทะยานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนแสดงออกมาผ่านแววตาของนาง
ฮ่องเต้มิได้มีเจตนาพุ่งเป้าไปที่พระชายาลู่หรือตระกูลลู่แต่อย่างใด
แต่ทว่า การกระทำของเขาที่ทำต่อลู่เจี้ยซึ่งเป็นนายน้อยแห่งตระกูลลู่ ใยมิใช่การหยามเกียรติตระกูลลู่หรอกหรือ
เกมการเมืองระหว่างเขากับตระกูลลู่ จะใช้ลู่เจี้ยเป็นหมากเดิมพันเช่นนั้นหรือ
แววตาของเจียงหลีเย็นเยือกลง
ทันใดนั้น ภายในจิตใจของนางก็มีแรงปรารถนาที่จะพาลู่เจี้ยออกไปจากตรงนี้และให้ห่างจากการนินทาว่าร้าย เขาเกิดมาเพื่อเป็นเซียน มิได้ข้องเกี่ยวกับชีวิตความเป็นไปในทางโลก จึงไม่ควรถูกรบกวนจากกิเลสทางโลกีย์เหล่านี้
“หลีเอ๋อร์” ทันใดนั้นพระชายาลู่ก็เรียกเจียงหลีด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
เจียงหลีละสายตาและมองไปที่หญิงงามที่นั่งอยู่ข้างๆ
“เจ้านำป้ายอาญาสิทธิ์นี้ไปหาเจี้ยเอ๋อร์ แล้วพาเขาออกไปจากที่นี่ หากมีใครเข้ามาขวาง ให้บอกว่าเจี้ยเอ๋อร์ไม่สบาย ต้องกลับเรือนแล้ว” พระชายาลู่กระซิบพร้อมกับหยิบป้ายอาญาสิทธิ์ออกจากแขนเสื้อแล้วส่งมอบไปที่มือของเจียงหลี
เจียงหลีรับป้ายอาญาสิทธิ์ โดยมิได้ปฏิเสธ
เพียงแต่ก่อนที่นางจะออกไปหาลู่เจี้ยอย่างเงียบๆ มู่เจิ้งเฟิงก็โบกมือให้นางรำถอยออกไปและนักดนตรีก็หยุดเล่นดนตรีเช่นกัน
ณ ตำหนักบุปผา จู่ๆ ก็เงียบสงัดลง ซึ่งทำให้เจียงหลีหลบหนีออกได้ยากขึ้นยิ่งนัก
เจียงหลีและพระชายาลู่ขมวดคิ้วอย่างพร้อมเพรียงกัน โดยคนหลังเผยให้เห็นถึงแววตาแห่งความกังวล
“ไปเชิญนายน้อยลู่เข้ามา” มู่เจิ้งเฟิงเอ่ย


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชินีพลิกสวรรค์