ด้วยเหตุนี้ เจียงหลีที่ฝืนอดทนต่อความเจ็บปวดของซี่โครงที่หักจึงถูกพามาหาลู่เจี้ย
ลู่เจี้ยมองไปที่สภาพของนางแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ “ไม่เจอกันเพียงครู่เดียว เจ้าทำให้ตัวเองมีสภาพสะบักสะบอมเยี่ยงนี้ได้ ดูท่าว่าเจ้าจะทำให้ชีวิตน้อยๆ นี้มีอันเป็นไปก่อนที่ข้าจะได้ใช้ประโยชน์เสียแล้ว”
เจียงหลีมองไปที่ลู่เจี้ย พลันคิดว่าชายคนนี้กำลังยิ้ม แต่นัยน์ตาดูล่องลอย ดูออกยากว่าแท้จริงแล้วกำลังคิดสิ่งใดอยู่
นางเข้าใจดีว่าเสียงข่มขู่สุดท้ายที่ดังขึ้นเมื่อครู่ต้องเป็นเจตนาของลู่เจี้ย ภายในจวนซ่อนยอดฝีมือไว้มากมายถึงได้กล้าพูดจาเช่นนั้น ฉะนั้น เขารับรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนอกประตูใหญ่นั่นเป็นแน่แท้ แต่ตอนนี้กลับมาแกล้งถามทั้งๆ ที่รู้ทุกอย่างอยู่แล้ว
“ข้าต้องการให้ท่านช่วยข้าสักเรื่อง” เจียงหลีขอร้องอย่างตรงไปตรงมา
ความเจ็บปวดบนร่างกายนั้น รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นางไม่มีเวลาพูดจาเล่นลิ้นกับเขาแล้ว
ลู่เจี้ยขมวดคิ้ว ทำให้ใบหน้างดงามล่มเมืองของเขายิ่งดูงามจับจิตจับใจมากยิ่งขึ้น “ข้อเรียกร้องของเจ้าช่างมากมายเหลือเกิน เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ว่าขอร้องหนึ่งครั้งสองครั้งได้ แต่จะขอเป็นครั้งที่สามนั้นไม่ได้”
เจียงหลีกัดฟัน จ้องมองไปที่ชายหนุ่มที่งดงามดุจหยกบริสุทธิ์ “ข้ามีข้อแลกเปลี่ยน”
“หืม เจ้าในตอนนี้ ยังมีอะไรที่สามารถนำมาเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับข้าได้หรือ” ลู่เจี้ยหรี่ตาลงด้วยความสนใจ เขามองไปที่สาวน้อยที่ขอร้องเขา แต่แววตาของนางกลับแฝงความโหดเ**้ยมที่ขัดกับอายุ ความแข็งกร้าวในแววตานั้นแม้แต่ยอดฝีมือที่เก่งที่สุดในจวนก็ยังไม่มีแววตาเช่นนี้ ลู่เจี้ยชอบความเป็นนางในมุมนี้ แต่ถ้าจะให้เขาออกหน้า แค่นั้นยังไม่เพียงพอ
จะเอาอะไรมาแลกเปลี่ยน
เจียงหลีในตอนนี้มิมีสิ่งมีค่าใดติดตัว สิ่งเดียวที่มีคืออาวุธเทพ ‘จูเสีย’ ของที่มู่ชิงเกอได้หลอมขึ้นให้นาง แต่จูเสียได้หลอมรวมเข้ากับนางเป็นหนึ่งเดียวกันไปแล้ว ไม่เพียงแต่นางจะไม่ยอมนำมันออกมาแลก ต่อให้นางอยากเอามันออกมาแลก ตอนนี้นางไม่สามารถรับรู้ถึงมัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการนำมันออกมาได้เลย
เมื่อเห็นว่านางเงียบไป ดวงตาใสวาววับดุจกระจกของลู่เจี้ยนั้นล้อแสงส่องประกายแวววาว เขาเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ไม่สู้นำความลับของเจ้ามาแลกเปลี่ยน”
เจียงหลีจ้องมองไปที่เขาโดยไม่กล่าวสิ่งใด พลางคิดว่าเขากำลังล้วงความลับของตระกูลเจียงอยู่
ลู่เจี้ยสะบัดแขนเสื้อ กดสายตาลงต่ำเพื่อจับจ้องมองนาง ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้ม แต่พลันเอ่ยถามขึ้นมาว่า “เจ้าเป็นใคร”
พอเจียงหลีได้ยินคำถาม หัวใจกระตุก แววตาวูบไหว “ข้าเป็นใคร ท่านตรวจสอบไปแล้วมิใช่หรือ”
ลู่เจี้ยหัวเราะออกมาเบาๆ “หากเจ้าเป็นบุตรสาวของเจียงหลินเฟิงจริง คงไม่ตกอยู่ในสภาพถูกผู้อื่นจับไปขายเป็นทาส อีกทั้งยังเกือบสิ้นลมกลางลานประลองหรอก”
เจียงหลีปิดปากเงียบ
นางทราบดีว่านางไม่สามารถปิดบังคนเจ้าเล่ห์เพทุบายราวสุนัขจิ้งจอกอย่างเขาได้
เขาคงสงสัยนางมาตั้งแต่ต้นเป็นแน่ เพียงแค่ไม่ได้กล่าวเปิดโปง แต่พยายามหยั่งเชิงนางมาโดยตลอด โอกาสที่มาถึงในวันนี้กลับเป็นตนที่หยิบยื่นให้ เขาเพียงแค่ทำทุกอย่างไปตามที่นางเปิดช่องเท่านั้น เจียงหลีรู้สึกในทันใดว่าการแข่งขันรอบสองระหว่างนางและเขา ก็ยังเป็นนางที่แพ้ราบคาบอีกเช่นเคย
“ได้ ข้าตกลง เพียงแค่ท่านช่วยข้าในครั้งนี้ ข้าจะบอกความจริงกับท่านว่าข้าเป็นใคร” หลังจากครุ่นคิดสักครู่ นางก็เอ่ยปากตอบตกลงโดยทันที
มุมปากของลู่เจี้ยยกขึ้นเป็นรอยยิ้มกว้าง เขาถามด้วยความสนอกสนใจว่า “เจ้าต้องการให้ข้าช่วยทำสิ่ง
ใด”
“กระดาษและพู่กัน ข้าต้องการเขียนหนังสือถอนหมั้น หลังจากนั้น รบกวนท่านให้คนส่งไปที่จวนตระกูลเย่ว์ แห่ไปให้เอิกเกริก เอาให้คนทั้งเมืองได้ทราบเรื่องนี้!” เจียงหลียิ้มเย็น พร้อมกล่าวถึงสิ่งที่ตนต้องการ
แท้จริงแล้วนี่ไม่ใช่สิ่งที่ยากเย็นอะไร เพียงแต่นางในตอนนี้จำเป็นต้องพึ่งพาบารมีของลู่เจี้ย นางต้องทำให้ไว ต้องชิงส่งหนังสือขอถอนหมั้นตัดหน้าตระกูลเย่ว์ ไม่อย่างนั้นแล้ว ชื่อเสียงของเจ้าของร่างนี้จะต้องป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดี การส่งหนังสือขอถอนหมั้นไม่เพียงแค่เป็นการแก้แค้นเย่ว์หนานซี ทั้งยังเป็นการปลดปล่อยเจ้าของร่างเดิมให้หลุดพ้น
หลังจากที่ลู่เจี้ยได้ยินสิ่งที่นางร้องขอ แววตาของเขาวูบไหวอยู่ครู่หนึ่ง พลันหัวเราะออกมาเสียงดัง “นี่เจ้ากำลังจะตบหน้าตระกูลเย่ว์ให้คนทั้งเมืองซูหนานเห็น”
เจียงหลียกมุมปากวาดขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ นัยน์ตากลับยังคงเย็นชาดุจน้ำแข็ง “ข้าต้องการเหยียบย่ำคนตระกูลเย่ว์ เอาให้พวกมันหมดทางพลิกคืน!”

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชินีพลิกสวรรค์