ในตอนที่เจียงเฮ่าตื่นขึ้นมา……
เขาที่ไม่ได้อยู่ข้างๆ เจียงหลี บางทีควรเรียกว่าจิ่งเยี่ยจะเหมาะกว่า
ในตอนที่เขาตื่นขึ้นมา เจียงหลีไม่อยู่แล้ว และเขาก็ได้กลับไปสู่ที่พักของเขาในสำนักหลิงอู่แล้ว เป็นถึงสถาบันของราชสำนัก เมื่อสำนักหลิงอู่เทียบกับสถาบันไป๋หยวนดูแล้วดีกว่ามาก สวัสดิการของเหล่านักเรียนก็ดีมากๆ ถึงอย่างไรนักเรียนส่วนใหญ่ของที่นี่ก็มาจากตระกูลสูงศักดิ์
ถึงแม้ว่าคนที่ไม่มีพื้นฐานอย่างเขา ก็เพราะว่าพรสวรรค์ที่โดดเด่น และสวัสดิการที่ดี เลยมีหอเล็กๆ ของตัวเอง
แค่กๆ
จิ่งเยี่ยไอ แล้วพ่นลมหายที่ไม่บริสุทธิ์ออกมา จิตใจย่ำแย่มาก ก็ยังอ่อนแอเกินไป ไม่สามารถปกป้องอาหลีได้
พอนึกถึงการต่อสู่ที่หนองน้ำเป่ยยวนในอาณาเขตหลิงอู่ จิ่งเยี่ยยังคงหวาดผวาอยู่
หลังจากที่เข้าสลบไป ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง แต่ว่าตอนที่ตื่นขึ้นมาในอาณาเขตหลิงอู่ ข้างตัวเขามีข้อความทิ้งไว้ เขียนไว้ว่าเจียงหลีกลับออกไปอย่างปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง
“ใครกันที่ยื่นมือเข้ามาช่วยพวกเราสองพี่น้อง” จิ่งเยี่ยแววตาครุ่นคิด บ่นพึมพำ
ในสถานการณ์แบบนั้น คนที่สามารถช่วยชีวิตพวกเขาได้ ต้องแข็งแกร่งขนาดไหนกันนะ
ถึงแม้ว่าคนลึกลับที่มาช่วยจะบอกว่าน้องสาวเขาไม่เป็นไร แต่ว่าจิ่งเยี่ยกลับยังไม่วางใจ เขาไม่รู้ว่าเจียงหลีผสานเข้ากับวิญญาณยุทธ์ที่สองได้สำเร็จหรือไม่ ยิ่งไม่รู้ว่าตอนนี้น้องสาวอยู่ที่ไหน เป็นอย่างไรบ้าง
ไปสืบดูที่สถาบันไป๋หยวนสักหน่อย จิ่งเยี่ยตัดสินใจแล้ว จึงเดินออกมาเตรียมจะไปข้างนอก
เพียงแต่ในตอนที่เขาเพิ่งจะลากเปิดประตู มีคนยืนอยู่ด้านนอก ทำให้เขาตัวแข็งทื่อ ในใจหนาวสั่น
“องค์หญิง” จิ่งเยี่ยแววตาเยือกเย็น ถึงแม้ว่าจะเปิดปากพูดแล้ว น้ำเสียงไม่สู้ดีนัก ไม่มีความเคารพชื่อนี้เลยแม้แต่น้อย
ด้านนอกประตู มีหญิงสาวที่อ่อนหวานสวมชุดฝึกฝนที่งดงามยืนอยู่
ใบหน้าของนางงดงามและสูงส่ง มีความสวยแบบเรียบๆ และบุคลิกดี ทำให้คนมองดูแล้วรู้สึกสบายเป็นพิเศษ รู้สึกดีได้ง่ายมาก รูปร่างดี ทุกๆ ตรงมีเสน่ห์ของความเป็นผู้หญิง
ความเย็นชาของจิ่งเยี่ยไม่ได้ทำให้นางโกรธ แต่นางกลับสุภาพเยือกเย็น “ได้ข่าวว่าเจ้ากลับมาแล้ว ก็เลยตั้งใจมาเยี่ยม”
“รบกวนองค์หญิงเกินไปแล้ว” เจียงเฮ่ามองลงมา ไม่มองหญิงงามตรงหน้าอีก
การมาเยี่ยมที่กะทันหันขององค์หญิงซีสยา ทำให้เขาไม่สามารถไปสถาบันไป๋หยวนเพื่อสืบข่าวคราวของเจียงหลีได้ ดังนั้นใจของจิ่งเยี่ยจึงไม่อยากยุ่งกับองค์หญิงองค์นี้มากนัก
องค์หญิงมู่ชิงเหยียนเม้มปากแล้วยิ้ม ทำให้คนที่เห็นรู้สึกสดชื่น นางไม่มีมาดองค์หญิงแห่งราชวงศ์เลยสักนิด ไม่สนใจความขัดแย้งของเจียงเฮ่า เพียงแต่ยืนพูดอยู่ตรงประตูว่า “ไปอาณาเขตหลิงอู่มา ราบรื่นดีไหม”
“อืม” จิ่งเยี่ยตอบกลับ หันตัวเดินกลับเข้าหอ
เขานั่งสมาธิอีกครั้ง หลับตาทั้งสองข้าง ด้วยท่าทีนี้บ่งบอกถึงความคิดของเขา
มู่ชิงเหยียนไม่รู้จะทำอย่างไร เอาขวดดินเผาออกมา วางไว้บนโต๊ะเบาๆ “นี่คือสุราอย่างดีจากในวัง มีสรรพคุณทำให้พลังกำลังแข็งแรง ชะล้างทางเดินเลือดลม เจ้าเพิ่งจะข้ามขั้นมาหลิงเจี้ยง เจ้าต้องการมัน”
หลังจากที่พูดจบ นางหันตัวเดินจากไป แล้วยังปิดประตูให้อีก ไม่ได้รบกวนจิ่งเยี่ย
หลังจากรอให้นางไป จิ่งเยี่ยถึงลืมตา มองขวดดินเผาที่บรรจุสุราอย่างดีอยู่ด้วยสีหน้าสับสน
……
มู่ชิงเหยียนออกจากหอของจิ่งเยี่ยไปแล้ว เดินไปได้ไม่ไกล ก็เห็นคนยืนอยู่ไกลๆ เหมือนว่ารอนางอยู่
เห็นร่างของคนที่มีความอวดดีสูงอย่างกับยอดเขาชัดแล้ว มู่ชิงเหยียนยิ้มอย่างรู้ดีว่านางจะพูดอะไร จึงเดินไปหานาง “หว่านโหรว เจ้ารอข้าอยู่ไม่ใช่รึ”
มู่หว่านโหรวพยักหน้า ไม่ได้ปิดบังจุดประสงค์ที่มา “ตอนที่เดินผ่านมาเมื่อครู่ เห็นเจ้าไปหอของจิ่งเยี่ย ก็เลยรอเจ้าออกมาอยู่ตรงนั้น”
ทั้งสองเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน มู่ชิงเหยียนยังพูดให้ฟังคร่าวๆ เป็นผู้มีพรสวรรค์ของราชสำนัก ความสัมพันธ์แบบลับๆ ก็ไม่เลว

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชินีพลิกสวรรค์