“บันไดสวรรค์หรือ จุดสิ้นสุดการทดสอบอย่างนั้นหรือ”
“หรือว่านี่จะเป็นการทดสอบรายการสุดท้าย”
“คำนวณเวลาก็จวนแล้ว”
“เช่นนั้นยังรออะไรอยู่ รีบขึ้นไปเร็ว!”
“จุดสิ้นสุดการทดสอบหรือ อย่าบอกนะว่าภารกิจสุดท้ายคือยอดบันไดหินนี้”
น่าจะเป็นเช่นนั้น”
“รีบไป!”
“บนบันไดหินนี่เป็นจุดสิ้นสุดการทดสอบจริงหรือ คงเป็นภารกิจที่มีคะแนนมากแน่นอน รีบเดินสิ อย่าให้ใครแย่งไปได้ก่อน”
“แต่ว่าบันไดหินอยู่ตรงนี้ พวกเราจะรู้ได้อย่างไรว่ามีใครขึ้นไปก่อนหรือมีใครตามมาทีหลัง”
“หึ หากข้างหน้ามีคนก็ฆ่าเอาคะแนน หากมีคนตามมาข้างหลังก็ถือว่าพวกเขาโชคร้ายก็แล้วกัน”
เริ่มมีบันไดหินมากมายปรากฏขึ้นในสนามทดสอบเพื่อดึงดูดให้ผู้เข้าร่วมทดสอบเดินขึ้นไป
ในเวลาเดียวกันพวกของเจียงหลีทั้งสี่คนเดินขึ้นมาบนบันได้หินใกล้จุดสิ้นสุดมาเรื่อยๆ
“พวกเจ้าสังเกตหรือเปล่าว่ายิ่งเดินขึ้นไปยิ่งรู้สึกว่าเท้ายิ่งหนักขึ้น” เจียงเฮ่านำความสงสัยในใจพูดออกมา
“ข้าก็รู้สึกเช่นนี้ เจ้าไม่พูด ข้ายังคิดว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะข้าหมดแรงเอง” ลู่เสวียนตอบอย่างทันควัน
หลังจากทั้งสองพูดจบก็หันไปมองพวกเจียงหลีสองคน
เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้วฝีเท้าของเจียงหลีเบากว่าเล็กน้อย แต่ก็สามารถมองออกว่าทุกย่างก้าวที่นางลดเท้าลงและยกขึ้นความเบาต่างลดลงจากก่อนหน้านี้
แล้วมู่ชิงเกอล่ะ
ทันใดนั้นพวกเขาก็พบว่าฝีเท้าของมู่ชิงเกอเบาและรวดเร็วมาก ถ้าหากไม่ใช่เพราะจงใจเดินช้าๆ เป็นเพื่อนเจียงหลีก็เกรงว่าอาจเดินนำไปข้างหน้าตั้งนานแล้ว
ทำไมเขาแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้
เขาแข็งแกร่งมาก
ทั้งสองแอบตกใจ สายตาที่มองมู่ชิงเกอพลันแปรเปลี่ยน โดยเฉพาะเจียงเฮ่า เขาไม่รู้มาก่อนว่าน้องสาวคู่ควรรู้จักกับคนที่เก่งกาจขนาดนั้น
“บันไดหินนี้ดูเหมือนจะธรรมดา แต่กลับมีผลต่อประสิทธิภาพของร่างกาย ยิ่งปีนยิ่งสูงก็ยิ่งสามารถเอาชนะพลังร่างกายของเราและขับไล่สิ่งสกปรกออกไปได้” จู่ๆ มู่ชิงเกอก็ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นมองไปทางสองคนนั้น
เจียงหลีก็ดูอย่างจริงจัง “ถึงจะช้าไปสักหน่อยก็อย่าหยุด พอหยุดชะงักประสิทธิภาพของการฝึกร่างกายก็จะสูญหายไป”
ทั้งสองตกใจแล้วพยักหน้าด้วยสีหน้าหนักแน่น
เมื่อครู่ตอนรู้สึกถึงความเหนื่อยล้าพวกเขาเคยคิดอยากจะพักจริงๆ เพียงแต่เมื่อมองไปทางผู้หญิงอย่างเจียงหลีที่ไม่มีหยุดพัก พวกเขาจึงรู้สึกเละอายใจ
เฉียดฉิวๆ!
หลังจากเตือนสติสองคนนั้นแล้ว ทั้งสี่ก็เดินขึ้นบันไดหินต่อ
ตลอดทางยิ่งปีนขึ้นก็ยิ่งสูง ป่าเขาลำเนาไพรข้างล่างค่อยๆ ผลุบหายไปกลายเป็นเมฆหมอกโอบล้อมรอบกาย เมื่อช้อนสายตาขึ้นมองก็ยังคงไม่เห็นปลายทางของบันไดหิน
หรือบางทีปลายบันไดหินอาจซ่อนอยู่ในส่วนลึกของเมฆหมอก
เดินหน้าต่อไปโดยไม่รู้ว่าเดินมานานเท่าไหร่แล้ว เพราะมันนานเสียจนลืมเวลาไปแล้ว
เสียงหอบหายใจของเจียงเฮ่าและลู่เสวียนกระหืดหอบหนัก เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลพลั่กจากแก้มของพวกเขาหยดลงบนขึ้นบันไดหิน
แม้กระทั่งเจียงหลีก็ยังมีสีหน้าตึงเครียด เส้นผมเปียกชื้นแนบใบหน้า
“เดินต่อไป อย่าเพิ่งท้อ” เจียงหลีตะโกนเสียงดังพร้อมกับเดินขึ้นไปอีกขั้น
ลู่เสวียนและเจียงเฮ่าเห็นเง่าร่างของเจียงหลีที่เดินนำหน้าก็กัดฟันรีบตามขึ้นไปติดๆ
ในบรรดาสามคนเจียงหลีดีหน่อยแต่ก็เริ่มหมดแรงเช่นกัน ขาทั้งสองข้างของเจียงเฮ่าและลู่เสวียนเริ่มอ่อนราวกับว่าไม่ใช่ตนเองเสียแล้ว
พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าปีนบันไดหินจะเหนื่อยขนาดนี้
หากยามนี้เจอศัตรูเข้า พวกเขาไม่มีแรงสู้กลับไปอย่างแน่นอน แต่ยังโชคดี พวกเขาเดินมาตั้งนานแล้วไม่ยักเห็นใครสักคน ข้างหลังก็ไร้ร่องรอยคนที่ตามมา
“สรุปว่าต้องนานอีกเท่าไรกว่าจะถึง” ลู่เสวียนกระหืดหอบเงยหน้ามองข้างหน้าอย่างหมดหวัง


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชินีพลิกสวรรค์